ทำ SEO อย่างไร ให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหายอดนิยม

สำหรับการทำ SEO หรือที่รู้จักกันในชื่อของ Search Engine Optimization เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ในทางปฏิบัติเป็นวิธีการที่เราสามารถศึกษาค้นคว้าและทำได้ด้วยตัวเองในบางจุด แต่ในบางเรื่องที่จำเป็นจะต้องใช้ความรู้และทักษะในด้านของการปรับแต่งเว็บไซต์ เราก็ไม่สามารถทำได้ทั้งหมดถ้าไม่มีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์มากพอ เพราะอาจทำให้กระบวนการและผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร ดังนั้นการศึกษารายละเอียด การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นักทำเว็บไซต์มืออาชีพก็ถือว่าเป็นวิธีการที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เช่น ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้น หรือคนเข้าชมมากขึ้น

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับข้อดีของการทำ SEO ก่อนว่ามีอะไรบ้าง ทำไมเราจึงต้องทำ ซึ่งข้อดีของการทำ SEO ที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือเราจะได้พื้นที่ในหน้าแรกของผลการค้นหาใน Google จากการที่มีผู้คนพิมพ์และกดค้นหาคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือบริการต่าง ๆ ที่เราประกอบการอยู่ หากอยู่ในอันดับ 1-5 ก็มีส่วนแบ่งผู้เข้าชมมากกว่าอันดับที่ 6-10

แล้วจะต้องทำ SEO อย่างไร

ในการทำ SEO นั้น อย่างแรกที่เราต้องรู้ก็คือ สินค้าหรือบริการของเรานั้น กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้านิยมใช้คำว่าอะไรในการพิมพ์เพื่อค้นหาข้อมูล ซึ่งก็อาจจะไม่ได้มีเพียงแค่ 1-2 คำ อาจจะมี 5-10 คำหรือมากกว่าก็ได้ โดยมีทั้งคำค้นหาแบบเดี่ยว ๆ หรือคำค้นหาที่มีหลาย ๆ คำ ผสมอยู่ในนั้น เราต้องนำคีย์เวิร์ดต่าง ๆ เหล่านี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อที่จะสามารถเพิ่มคะแนนให้กับเว็บไซต์ของเราในการไต่อันดับเมื่อมีผู้คนใส่คำค้นหาที่เป็นคีย์เวิร์ดนั้น ๆ โดยเราอาจจะต้องเลือกคำค้นหาที่มีปริมาณของผู้คนคลิกค้นหามากเป็นลำดับต้น ๆ เพื่อที่จะใช้เป็นคีย์เวิร์ดชุดหลักที่จะสร้างความสอดคล้องและเนื้อหาต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ให้มีการสอดแทรกคีย์เวิร์ดต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างเหมาะสม ซึ่งเนื้อหาต่าง ๆ ที่อยู่ในเว็บไซต์ก็ควรมีความถี่ในการใส่คีย์เวิร์ดอย่างพอดีด้วย หากใส่มากเกินไปก็กลับเป็นผลทางลบได้

สำหรับเนื้อหาต่าง ๆ ที่มีความน่าสนใจ เป็นเรื่องใหม่ เป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านที่เข้ามาชมเว็บไซต์ ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราได้รับการไต่อันดับที่ดีขึ้น เพราะได้รับความสนใจ มีการกดแชร์ กดคลิกเข้าชมจำนวนมากนั่นเอง ถ้าคุณต้องการทำ SEO ให้ได้ผลแล้วล่ะก็ เนื้อหาโครงสร้างเว็บไซต์ ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ถ้าเราได้มีการสร้างสรรค์ ปรับปรุง เนื้อหา โครงสร้างต่าง ๆ ให้ดีขึ้น ให้มีคุณสมบัติตรงกับที่ทาง search engine และ Google ต้องการได้มากที่สุด ก็จะส่งผลดีต่อ SEO เป็นอย่างมาก เมื่อรวมกับเนื้อหาที่น่าอ่าน ถูกใจคนอ่าน ก็ยิ่งส่งเสริมให้มีอันดับนำคู่แข่งได้อย่างที่ต้องการ

Update เทรนด์ SEO ประจำปี 2021 ที่คนทำคอนเทนต์ควรรู้!

สำหรับคนทำคอนเทนต์บนโลกอินเทอร์เน็ตย่อมรู้ถึงความสำคัญในการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization หรือเครื่องมือที่ช่วยเพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์อยู่แล้ว แต่ทุก ๆ ปีเทรนด์การทำ SEO จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เนื่องจากระบบ Search Engine ต้องการเพิ่มเว็บไซต์และคอนเทนต์ที่ประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปี 2021 เทรนด์ SEO มีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

1.ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งาน (User) เป็นหลัก การทำคอนเทนต์ควรให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่ User จะได้รับ โดยแทรกคีย์เวิร์ดที่ใช้ในการค้นหาในปริมาณที่เหมาะสม แม้ว่าเทรนด์นี้จะเป็นเทรนด์สำคัญที่เห็นกันอยู่ทุกปี แต่ในปี 2021 นี้ Google Search Engine ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นเพื่อปรับปรุงข้อมูลที่มีในระบบให้ตอบสนองต่อความต้องการของ User ได้ดีกว่าเดิม และต้องการเว็บไซต์ที่มีการแสดงผลได้อย่างรวดเร็วฉับไว รวมถึงไม่เน้นการทำคอนเทนต์เพื่อเก็บข้อมูล Email หรือบังคับให้ลงทะเบียน

2.ให้ความสำคัญกับระยะเวลาการใช้งานของ User มากกว่า Traffic ปริมาณการเข้าถึง (Traffic) จะถูกลดบทบาทลงและเพิ่มการให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมาย (User) เดิมมากยิ่งขึ้น ทำให้การทำคอนเทนต์ควรเป็นไปในลักษณะที่สามารถรักษาฐาน User เก่า โดยมุ่งเน้นการทำคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์และสร้างคุณค่าควบคู่ไปกับการหา User ใหม่

3.สร้างแบรนด์ของตัวเองด้วยการทำ Search Engine Results Page (SERPs) คือ การทำให้หน้าเพจติดอันดับบน Google โดยนำเทคนิค SEO มาใช้ โดยแทรกคีย์เวิร์ดหรือคำที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลลงในส่วนต่าง ๆ ของเพจอย่างเหมาะสม และเนื้อหาเพจต้องมีประโยชน์กับ User โดยต้องสร้างสรรค์ข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพราะเป็นสิ่งที่ Google จะใช้ในการตัดสินคุณสมบัติของเพจว่าเป็นเพจที่มีประโยชน์ต่อ User หรือไม่

4.ให้ความสำคัญกับการตั้งค่าภายในเว็บไซต์ เพื่อให้เกิดการแสดงข้อมูลที่รวดเร็วฉับไว รองรับการเปิดเว็บไซต์ด้วยอุปกรณ์มือถือ แล็บท็อป หรือแทปเล็ต รวมถึงมีระบบรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของ User

5.การทำคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาครบถ้วน ในปี 2021 Google ให้ความสำคัญกับการทำคอนเทนต์ที่มีความยาวมากกว่า 1,000 คำขึ้นไป เพราะเป็นจำนวนคำที่สามารถอธิบายเนื้อหาได้โดยละเอียดและเป็นประโยชน์ต่อ User มากที่สุด ทั้งนี้ควรจัดข้อความแต่ละย่อหน้าให้มีลักษณะที่อ่านง่าย เป็นระเบียบ และเลือกใช้คำอธิบายที่สามารถเข้าใจได้ง่าย รวมถึงการใช้คีย์เวิร์ดที่สมเหตุสมผลให้กระจายทั่วคอนเทนต์ในปริมาณที่เหมาะสม

เทคนิคในการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่เสมอ ผู้ที่ทำเว็บไซต์ คอนเทนต์หรือนักการตลาดออนไลน์ควรหมั่นศึกษาและทำความเข้าใจเพิ่มเติมโดยเร็ว เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

VOICE SERCH เทรนด์ใหม่ สำหรับ SEO ปี 2021

Voice Search คือฟังก์ชั่นการค้นหาด้วยเสียง ของ Google ซึ่งประเทศไทย ยังมีอัตราการใช้งานไม่มากนักเพราะส่วนใหญ่ยังคงคุ้นเคยกับการค้นหาด้วย คำ หรือ Keyword แต่เชื่อหรือไม่ว่า Voice Search กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่นิยมโลกการสื่อสารบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ดังนั้นวันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับ Voice Search กันสักนิดว่า มีหลักการทำงานและความสำคัญอย่างไรต่อระบบ SEO ในปี 2021

การทำ SEO (Search Engine Optimization) ด้วยการค้นหาคำตอบบน Google search อาจลดบทบาทลง ด้วยมุมมองใหม่ที่เริ่มปรับตัวจากสถิติการเติบโตของ Voice Search Optimization การค้นหาด้วยเสียง เช่นเดียวกับหลายบริษัทที่หันมาให้ความสำคัญกับฟังก์ชันนี้ เช่น Siri ของ Apple , Alexa ของ Amazon , Cortana ของ Microsoft , และ Bixby ของ Samsung เป็นต้น

แม้ว่าในปัจจุบัน กลุ่มคนที่ใช้แอปพลิเคชันบนมือถือจะยังคงยึดติดกับการค้นหาคำแบบ Keyword เป็นหลัก แต่เราจะเห็นได้ชัดว่า Voice Search มีความทันสมัย ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพมาก ด้วยผลงานวิจัยจากหลายสถาบันชี้ตรงกันว่า Voice Search มีอัตราการเติบโตจากกลุ่มผู้ใช้เพื่อค้นหาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2559 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลจาก Google ระบุว่าภายในปี 2020 มีผู้ใช้วอยซ์ เสิร์ช เพิ่มขึ้นสูงถึง 50 % จึงอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางการทำ SEO รูปแบบใหม่ในอนาคตก็เป็นได้

หากเราพิจารณาถึงข้อได้เปรียบ วอยซ์ เสิร์ช ในกรณีที่เป็นภาษาอังกฤษ คนเราจะพูดได้ 150 คำต่อนาที ในขณะที่ข้อจำกัดของการพิมพ์ค้นหาคำต่าง ๆ ใช้การพิมพ์คำ 40 คำต่อนาที อีกทั้งการค้นหาด้วยเสียงยังมีความสะดวกมากกว่าขณะที่ทำกิจกรรมอื่น ๆ อยู่ เช่น เดิน วิ่ง ขับรถ ทำอาหาร เป็นต้น

ถึงแม้ว่า Voice Search จะมีความทันสมัยและตอบโจทย์ความสะดวกสบายในการชีวิตแบบ New Normal ทำให้ผู้คนเข้าถึงสินค้า บริการ ตลอดจนแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ได้ตรงตามความคาดหมาย 100% สิ่งที่จะตามมาคือปัญหาเรื่องของอารมณ์ความอดทนต่อการค้นหา ผู้คนอาจจะมีความอดทนต่อการรอคอยและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวลดน้อยลง เพราะเคยชินกับการที่ได้รับข้อมูลในทันทีจากการสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น หากสินค้าที่ค้นหาปรากฏขึ้นมาในหน้าแรก ๆ แต่ไม่ใช่แบรนด์ที่ต้องการซื้อ เป็นต้น

ดังนั้นเมื่อ Voice Search เริ่มมีผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคมากขึ้น เจ้าของแบรนด์หรือเว็บไซต์จะหวังพึ่งพา SEO เพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะอาจจะมีการจัดลำดับใหม่และถูกคู่แข่งนำไปได้ จึงต้องเร่งพัฒนารูปแบบเว็บไซต์ เพื่อให้รองรับฟังก์ชัน Voice Search และรูปแบบการค้นหาด้วยเสียงในแอปพลิเคชันอื่น ๆ

นอกจากนี้ก็ควรเพิ่มช่องทางการโปรโมทสินค้าและเว็บไซต์ในโซเชียลมีเดียช่องทางอื่นเพิ่มมากขึ้น ด้วย โดยเน้นการให้ข้อมูลรายละเอียดของสินค้าด้วยเนื้อหาที่เข้าใจง่าย และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า มีบริการหลังการขายที่ดี เชื่อมโยงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเอาไว้ด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งกลุ่มลูกค้าเก่าและขยายฐานลูกค้าใหม่

เพิ่มปริมาณการเข้าถึง Website ด้วย SEO Keyword 7 ประเภท

สำหรับนักการตลาดคงพอจะทราบถึงความสำคัญของ Keyword, วิธีการคัดสรร keyword ที่ดีและวิธีการนำ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า บริการหรือจุดประสงค์ของเว็บไซต์มาใช้ทำ Search Engine Optimization (SEO) แต่ด้วยการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้นักการตลาดจึงไม่ใช่กลุ่มเดียวที่ทราบถึงความสำคัญของการนำคีย์เวิร์ดมาใช้

การทราบถึงประเภทคีย์เวิร์ดจะช่วยให้ได้คีย์เวิร์ดคุณภาพที่มีการแข่งขันน้อยกว่าและมีความสามารถใจการเรียกกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนเข้าสู่เว็บไซต์มากขึ้น โดยประเภทคีย์เวิร์ดที่ควรรู้ มี 7 ประเภท คือ

1.Short-tail Keyword เป็นการใช้คำนามสั้น ๆ ไม่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งคำเหล่านี้แม้จะมีปริมาณผู้ค้นหาเยอะแต่ก็เป็นคำที่มีจำนวนคู่แข่งเยอะเช่นกัน โดยตัวอย่าง Short-tail Keyword เช่น เสื้อ กางเกง กระเป๋า รองเท้า เป็นต้น

2.Long-tail Keyword เป็นการนำ Short-tail Keyword มาเพิ่มความเฉพาะเจาะจงให้มากขึ้นโดยใช้คำเชื่อม หรือการบอกจำนวน ปริมาณ รุ่น ต่อท้าย เช่น กางเกงขาสั้นผู้หญิง สีขาว สวย ๆ แนะนำ / เสื้อผ้าสาวอวบ ราคาไม่แพง ดูดี / ครีมหน้าขาว มี อย ปลอดภัย เป็นต้น

3.Short-term fresh keyword คำนามสั้น ๆ ที่กำลังเป็นกระแส เช่น ส้มหยุด, ดอกมุราคามิ, แฮรี่พอตเตอร์ ภาคีนกฟีนิกซ์ เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้เป็นคำที่ช่วยดึงความสนใจให้กลุ่มเป้าหมายที่กำลังสนใจในเรื่องราวที่เป็นกระแสในช่วงขณะนั้น

4.Long-term evergreen keyword เป็นคำที่มีลักษณะกลาง ๆ คือ มีปริมาณการค้นหาไม่น้อยหรือมากเกินไป แต่ยังคงมีการค้นหาอยู่เสมอเป็นช่วงเวลานานหลายเดือน หลายปี เช่น แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์, แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ ป.3, พัฒนาการเด็กทารก เป็นต้น

5.Product defining keyword เป็น Keyword ที่เอาลักษณะเด่นของสินค้าหรือบริการมาใช้ในการทำ SEO โดยลักษณะของ Product defining keyword ที่ดีควรมีปริมาณการค้นหาต่ำและมีจำนวนคู่แข่งน้อย เนื่องจากเป็นคำที่มีความเฉพาะเจาะจง

6.Customer defining keyword เป็นการนำลักษณะเด่นของลูกค้ามาใช้ผสาน Short-tail Keyword เพื่อให้เกิดคีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น กางเกงสาวอวบ, รองพื้นสาวผิวแทน, ลายเพ้นท์เล็บสั้น, ทรงผมผู้ชายหยักศก เป็นต้น

7.Geo-targeting keyword การเพิ่มตำแหน่งที่ตั้งลงบน Short-tail Keyword เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยเพิ่มความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น Geo-targeting keyword มีลักษณะปริมาณการค้นหาน้อย แต่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้าในพื้นที่ให้เข้าสู่ร้านค้ามากขึ้นได้ เช่น ร้านอาหารเวียดนาม พิษณุโลก, เสื้อผ้าเด็กทารก เชียงใหม่, ร้านซ่อมรถบิ๊กไบค์ นวนคร เป็นต้น

Search Engine Optimization หรือ SEO ให้ความสำคัญกับการสร้างคอนเทนต์คุณภาพด้วย Keyword คุณภาพ ซึ่งเทคนิคที่ดีที่สุดในการนำ Keyword ทั้ง 7 ประเภท มาใช้ในการทำ SEO เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์และเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์ให้มากขึ้น ควรนำคีย์เวิร์ดทั้ง 7 ประเภทมาปรับใช้ในการสร้างคอนเทนต์ให้มีความสดใหม่อยู่เสมอ

ปี 2019 เว็บไซต์ SEO ควรเน้นจุดไหนดี

ปี 2019 มีคู่แข่งธุรกิจการค้าออนไลน์เกิดขึ้นมากมาย เนื่องจากกำลังเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี 5g ที่ระบบอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารช่วยให้การค้าขายสะดวกคล่องตัวยิ่งขึ้น การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ซื้อขายสินค้าออนไลน์ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำการศึกษาให้แน่ชัดว่าควรจะพัฒนาเว็บไซต์ SEO ไปในด้านใด

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการทำเว็บไซต์เพื่อให้สอดคล้องกับระบบ Algorithm ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์อัจฉริยะของ Search Engine ต่างๆ อันได้แก่ Yahoo , Google , Bing ซึ่งจะมีทีมงานพัฒนาระบบคิดวิเคราะห์เพื่อควบคุมคุณภาพของเว็บไซต์ และมีการจัดลำดับของร้านค้าออนไลน์ที่มีการพัฒนาเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพจากสูงมาต่ำ  

การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ จึงเหมือนกับเป็นการสร้างโอกาสในการขาย ดึงดูดใจให้ลูกค้าที่เห็นเว็บไซต์ของคุณที่อยู่ในอันดับต้น ๆ คลิกเข้ามาสู่ร้านค้าด้วยความมั่นใจ ทำให้มีเปอร์เซ็นที่จะขายสินค้าและบริการออนไลน์ของคุณได้มากกว่าเว็บไซต์ที่อยู่อันดับล่างหรือหน้าหลัง ๆ ในหน้าต่างการสืบค้นที่ใช้คีย์บอร์ดเดียวกัน

การทำเว็บไซต์ SEO ในปี 2019 สิ่งที่ควรเน้นย้ำ คือ การเลือก Keyword ที่เหมาะสมด้วยการวิจัย Keyword ซึ่งมีโปรแกรมที่ช่วยในการวิเคราะห์ของ Search Engine เพื่อให้คุณสามารถหยิบคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมมาใช้สำหรับการสร้างบทความการผลิตสื่อ มัลติมีเดียต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายกำลังค้นหา

ถ้าคุณทำเว็บไซต์ขายกล้องติดหน้ารถ ก็ควรที่จะสืบค้นว่าลูกค้าใช้คีย์เวิร์ดกล้องติดหน้ารถคู่กับคำว่าอะไรบ้าง เช่น กล้องติดหน้ารถแบบไม่สั่นสะเทือน คมชัดสูง เมื่อคุณนำคีย์เวิร์ดนี้มาสร้างเป็นบทความ SEO หรือสร้างสื่อเพื่ออัพเดทลงใน YouTube และเชื่อมโยงลิงค์เข้ามาสู่เว็บไซต์ของคุณ ก็จะทำให้มีโอกาสที่จะมีผู้สนใจมากขึ้น เป็นการเพิ่ม Traffic ให้แก่เว็บไซต์หลักของคุณ ทำให้อันดับของการสืบค้นที่มาจากการวิเคราะห์ของระบบ Algorithm ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังต้องทำการศึกษาการใช้ระบบ AI ในการทำเป็น Chat Bot ที่ช่วยตอบโต้กับผู้ใช้บริการอย่างสะดวกรวดเร็ว ทำให้ลดเวลาในการรอคอยหรือไม่ว่าจะเป็นทาง Email หรือทางโทรศัพท์

ซึ่งปัจจุบันเว็บไซต์ที่มีการติดตั้ง Chat Bot ในมุมด้านล่างเว็บไซต์ SEO จะยิ่งเพิ่มภาพลักษณ์ที่ทันสมัย สร้างความรวดเร็วในการให้บริการและสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายของสินค้าและบริการให้กับเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น จึงนับว่าเป็นแนวทางที่สอดคล้องเข้ากับการทำเว็บไซต์ SEO เป็นอย่างดี

หวังว่า เทคนิคที่เรานำเสนอไปจะเป็นแนวทางที่ช่วยให้นักธุรกิจออนไลน์ในปี 2019 ให้ความสำคัญกับการทำเว็บไซต์ SEO ที่มีความชัดเจนและตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ดียิ่งขึ้นในปีต่อ ๆ ไป

ปี 2019 เว็บไซต์ SEO ควรเน้นจุดไหน

ค้าขายออนไลน์ต้องรู้ SEO คือ

การประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ด้วย SEO จะทำให้มีอันดับดี สืบค้นง่ายทั้งใน Google และ Yahoo ทั้งนี้ จะต้องรู้ว่าหลักในการทำการตลาดด้วย SEO หรือ Search Engine Optimization ไม่ใช่การโฆษณาโดยตรง แต่หมายถึงการปรับโครงสร้างในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์และการทำลิงก์ด้วย ซึ่งในปี 2019 จะมีวิธีการทำ SEO อย่างไร มาดูพร้อมกันเลย

SEO ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ

1. ส่วนของเนื้อหาหรือ Content รวมถึงรูปภาพประกอบและก็คลิปวีดีโอต่าง ๆ ที่จะต้องให้ความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวกับสินค้าและบริการอย่างเหมาะสม

เช่น เว็บไซต์ที่เปิดบริษัททำบริการ SEO ให้แก่ลูกค้า ก็ควรจะมีเนื้อหาว่า SEO ที่ถูกต้องควรจะทำอะไรบ้าง การจ้างทำ SEO มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจขายของออนไลน์ สามารถศึกษาและนำไปตัดสินใจในการทำธุรกิจของตัวเองหรือทำให้มีลูกค้าตัดสินใจจ้างงานของบริษัทคุณได้ด้วย

นอกจากการมีข้อมูลที่ดีแล้ว การอัพเดทข้อมูลบ่อย ๆ ก็จะทำให้มีผู้เข้ามาติดตามอ่านบทความในเว็บไซต์มากขึ้น ทำให้อันดับในการสืบค้นของเว็บไซต์นั้นสูงขึ้นตามไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือทำให้ธุรกิจมียอดขายและลูกค้ามาใช้บริการที่มากขึ้น

2. การทำลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอก หรือ Back Link จะทำให้ได้ลูกค้าจากแหล่งต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ถ้ามีลูกค้าที่สงสัยว่าการเลือกจ้างบริษัท SEO ที่ดีต้องดูจากอะไร ค่าใช้จ่ายควรเท่าไร แล้วไปโพสต์ถามในเว็บไซต์สังคมออนไลน์ต่าง ๆ ถ้าเจ้าของธุรกิจรับจ้างทำ SEO ได้ไปโพสต์ตอบและให้ Link เพื่อเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ของตัวเองไปด้วย ก็จะมีประโยชน์ต่อคนที่โพสต์ถามและคนอื่น ๆ ที่มาอ่าน

ซึ่งจะทำให้ผู้ที่สนใจจ้างงานบริษัททำ SEO หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถตามลิงก์เข้ามา เพื่อมาสู่เว็บไซต์หลักทางธุรกิจของคุณได้ การทำวิธีนี้จึงทำให้คุณได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาเพิ่มเติมอย่างการทำ Google AdWords และการทำ Back Link ก็เป็นส่วนที่ทำให้การจัดอันดับเว็บไซต์จาก Search Engine (Yahoo Google) ดีขึ้นตามไปด้วย

จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าในปี 2019 นั้นการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ด้วยวิธี SEO ต้องทำทั้งส่วนเนื้อหาบทความที่มีคุณภาพและอัพเดตเป็นประจำ เพื่อให้มีผู้อ่านและทำให้เพิ่มโอกาสขายได้ดีขึ้น และต้องทำ Back Link เพื่อให้มีลูกค้ารู้จักเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ การทำ SEO ที่มีคุณภาพสามารถที่จะศึกษาทำด้วยตัวเองก็ได้หรือจะจ้างบริษัทรับจ้างของเอกชนทำก็ได้เช่นกันหรือทำพร้อม ๆ กับการจ้างทำโฆษณาแบบอื่น ๆ เพื่อประชาสัมพันธ์เว็บไซต์อย่างรวดเร็ว ก็ได้เช่นกัน

ค้าขายออนไลน์ต้องรู้ SEO คืออะไร

เขียนบทความยังไงให้ได้คุณภาพ

ได้ยินบ่อยมากเรื่องการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหาอย่าง Google สามารถพบสิ่งที่ต้องการเร็วขึ้น หลังจากเลือกคีย์เวิร์ดที่เป็นคำหลักอย่างเหมาะสม แต่ก่อนที่จะเขียนเนื้อหาบทความคุณมีทางเลือกทำตามคำแนะนำต่อไปนี้

เขียนบทความยังไงให้ได้คุณภาพ

1.ตั้งเป้าหมายเว็บไซต์

การเขียนบทความ ควรทำการวิจัยคีย์เวิร์ดก่อน เรียนรู้ว่าควรใช้คำไหนที่เหมาะสม อาจจะอาศัยการวิเคราะห์ของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ใช้คำไหนในการค้นหาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้อง เลือกคำหลักที่สำคัญที่สุดสำหรับใส่ในบทความ ถือเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ

2.รู้ว่าควรใช้คีย์เวิร์ดตรงไหน

การเขียนบทความจะต้องวางแผนว่าใช้คีย์เวิร์ดตรงไหนบ้าง เช่น ชื่อบทความ , โดเมนเนม , คำอธิบายเว็บ , ใส่แท็ก , หมวดหมู่ , ชื่อหน้าเพจและเนื้อหาของบทความ หากคุณใช้ WordPress มีปลั๊กอินเวิร์ดเพรสช่วยจัดการทำ SEO ของเว็บไซต์ให้ง่ายขึ้น เช่น All in One SEO Pack ที่ใช้งานตั้งค่าพื้นฐานให้เรียบร้อย จากนั้นเลือกโพสต์ที่ต้องการแล้วทำการใส่ Title Description และ Keywords ในโพสต์ได้ง่าย ๆ ในแบบที่เราต้องการ

3. ลิงก์เชื่อมโยงภายในเว็บไซต์

ระบบจัดการเนื้อหาส่วนมากทำงานโดยอัตโนมัติ เชื่อมโยงหน้าที่เกี่ยวข้องกับภายในเว็บไซต์ โดยเพิ่มคุณภาพและความน่าเชื่อถือของคอนเทนต์ที่จัดทำขึ้นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำ SEO ช่วยในเรื่องการจัดอันดับในการค้นหาเว็บไซต์ได้ด้วย

4.การตั้งค่า Permalink ใน WordPress รวมทั้งคีย์เวิร์ด

บางเว็บไซต์มีโครงสร้าง Permalink แบบระบุตัวเลขหน้า เช่น https://yoursite.com/?p=12 ไม่แนะนำให้ใช้แบบนี้เพราะไม่เกิดประโยชน์เพราะไม่เห็นว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร และยังไม่เป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหาอีกด้วย แนะนำว่าควรใช้โครงสร้าง URL ที่มีข้อความและอย่าลืมใส่คีย์เวิร์ดไว้ใน URL ด้วย มีลักษณะเช่นนี้แทน https://yoursite.com/coolpage/

5. ลบสิ่งที่ทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลง

เวลาในการโหลดหน้าเว็บมีความสำคัญ ควรลบสิ่งที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ ที่ทำให้เว็บไซต์เสียเวลาในการโหลดเว็บไซต์ อาจรวมถึงไฟล์รูปภาพขนาดใหญ่ กราฟิกภาพเคลื่อนไหวและปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ค้นหาเว็บไซต์เร็วขึ้น

6.ใช้คีย์เวิร์ดในภาพ

คีย์เวิร์ดไม่ได้ใส่เฉพาะในเนื้อหาบทความเท่านั้น ควรใส่ในชื่อเรื่อง ชื่อรูปภาพ คำอธิบายเว็บและไฟล์อื่นๆ เปลี่ยนชื่อไฟล์ใหม่ถ้าไม่สามารถใส่คีย์เวิร์ดในไฟล์นั้น ชื่อรูปภาพควรจะเป็น “writing-tips.jpg” แทนที่จะเป็น “d1234.jpg”

7.เชื่อมโยงเว็บไซต์ภายนอกที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้อง

คุณสามารถรวมบล็อกลิงก์ รายการลิงก์หรือแหล่งข้อมูลไว้ในเว็บไซต์ การเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ภายนอกจะทำให้ลิงก์ย้อนกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณ มีผลต่อเครื่องมือค้นหาที่พบหัวข้อที่ตรงกันด้วย

8.ปรับปรุงเว็บไซต์บ่อยๆ

เว็บไซต์ที่มีการอัพเดตเนื้อหาสม่ำเสมอ การโพสต์บทความใหม่มีคุณภาพเป็นประจำ มักมีอันดับสูงกว่าเว็บไซต์ที่ไม่ค่อยขยับเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น วิกิพีเดียจะติดอันดับดีในเครื่องมือค้นหาเพราะทำการอัปเดตเนื้อหาใหม่อย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณทำ SEO ถูกต้องตามกฎและได้รับการจัดอันดับในดัชนีของเครื่องมือค้นหา เช่น Google , Bing และ Yahoo ทำให้ผู้ใช้ค้นพบเว็บของคุณทางออนไลน์