หนทางสร้างอาชีพนักขายของออนไลน์ ด้วยการปั้น SEO วิธีง่าย ๆ ทำได้ด้วยตัวเอง

ต้องยอมรับว่า โลกในยุคปัจจุบันคือโลกแห่งออนไลน์ ทุกสิ่งอย่างสามารถเกิดขึ้นและดับลงได้ด้วยปลายนิ้ว บนโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว ช่องทางการสร้างอาชีพหรือหาเงินเลี้ยงปากท้องก็เช่นเดียวกัน จากสมัยก่อนที่ต้องดิ้นรนนอกบ้าน ปัจจุบันอยู่บ้านอย่างเดียว ก็สามารถหาเงินจากช่องทางออนไลน์ได้ไม่อยาก

อาชีพนักขายของออนไลน์ จึงกลายมาเป็นอาชีพยอดฮิตที่หลายคนเลือก มีทั้งทำแบบอาชีพเสริมหาเงินเพิ่ม หรือบางคนยึดเป็นอาชีพหลักเลี้ยงครอบครัวเลยก็ว่าได้ แต่ยิ่งคนทำมากเท่าไร คู่แข่งในอาชีพขายของออนไลน์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น วิธีการเดียวที่จะทำให้เหนือกว่าคู่แข่งขันคือ ต้องทำให้ลูกค้าติดใจ และเลือกซื้อเฉพาะของเราเท่านั้น อีกประเด็นคือ ต้องสร้างฐานลูกค้ารายใหม่ที่ยังไม่เคยซื้อ ให้เขาตัดสินใจเลือกซื้อของเรา

ด้วยเหตุนี้ การทำ SEO จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่นักขายของออนไลน์ จำเป็นต้องรู้ และต้องทำให้เป็น เพื่อช่วยดึงลูกค้ารายใหม่ และคงอยู่ของลูกค้ารายเก่า การทำ SEO หรือที่เรียกกันในวงการออนไลน์คือ Search Engine Optimization คือ กระบวนการค้นหาเว็บไซต์ผ่านแพลตฟอร์มอย่างเช่น Google เพื่อนำไปสู่เว็บไซต์ที่ต้องการค้นหา หากนักขายสามารถสร้างเว็บไซต์ให้ติดอันดับแรกหรือต้น ๆ ของการค้นหา ก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น เพราะถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ จนนำไปสู่ความต้องการซื้อของลูกค้า และท้ายที่สุดคือ ยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้นเอง

โดยปกติแล้ว หากเป็นธุรกิจหรือองค์กรขนาดใหญ่ที่มีกำลังทุนทรัพย์มากพอ ก็จะมีการจ้างเหล่าพวกบริษัทเอเจนซี่โฆษณาต่าง ๆ เพื่อดำเนินการแผนการตลาดรวมถึงการสร้าง SEO นี้ด้วย แต่หากเจ้าของธุรกิจออนไลน์ทั้งหลาย อยากจะลงมือทำด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องอาศัยระยะเวลาในการสร้าง ดังนั้นเจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องมีความสม่ำเสมอในทำอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นจากวิธีการง่าย ๆ 2 ตัวหลักจำเป็น ดังนี้

1. แผนการตลาดสำคัญ

ต่อให้ธุรกิจจะขนาดเล็กมากเพียงใด แต่ขึ้นชื่อว่าธุรกิจแล้ว จำเป็นต้องมีแผนการตลาดเสมอ ไม่ใช่แผนเฉพาะด้านเพื่อมุ่งเพิ่มยอดขายอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแผนดิจิตอลบนเว็บไซต์ด้วย หากลงมือทำเองก็ต้องกำหนดขอบเขตเวลาให้ชัดเจน เช่น ใน 1 เดือนต้องเปลี่ยน Keyword กี่ครั้ง มีผลรายงานการทำ SEO หรือต้องใช้ Keyword คำไหนที่จะค้นหาได้ง่ายขึ้น เป็นต้น

2. Keyword คือแผนนำทาง

การกำหนด Keyword เพื่อการค้นหา ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำผู้ค้นหาไปยังเว็บไซต์ของเรา ฉะนั้น การเลือกใช้ Keyword จำเป็นต้องเป็นคำที่เหมาะสม เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และเป็นคำที่นิยมค้นหากันในปัจจุบัน

นอกจากหัวใจ 2 ข้อข้างต้นแล้ว การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ ยังจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น หน้าเว็บไซต์ ต้องปัง ค้นหาง่าย มีลิงค์เชื่อมโยงระหว่างกัน ที่สำคัญต้องอัพเดทข้อมูลอยู่เสมอ หรือจะเป็นในเรื่องของคอนเทนต์ ที่อ่านแล้วต้องชวนดึงดูดความน่าสนใจ มีข้อมูล เนื้อหาสาระ และความบันเทิงที่ครบถ้วน เป็นต้น

Content creator ต้องรู้ บทความที่ถูกหลัก SEO ดึงคนเข้ามาอ่าน

Content creator นักเขียนบทความหรือคนที่ทำหน้าที่นำเสนอเนื้อหาอย่างมีคุณภาพและน่าสนใจ จำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ SEO หรือเรียกว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้มีผู้คนเข้ามาชมเว็บไซต์มากขึ้นโดยใช้ Keyword เป็นตัวชักนำแบบที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการโปรโมต ดังนั้นเราไปดูกันว่าบทความที่ถูกหลักไวยากรณ์และ SEO เป็นอย่างไรและมีขั้นตอนยากหรือไม่

ความหมายของบทความ SEO

คือ บทความที่ถูกหลักการตลาดทำให้เหล่านักท่องโลกออนไลน์เข้าถึงข้อมูลได้มากที่สุด โดยจะเป็นการนำ Keyword ที่ได้รับการค้นหาบ่อยมาปรับแต่งทำให้มียอดผู้ชมเว็บไซต์มากขึ้น โดยไม่ต้องเสียเงินโปรโมตมากมายนักเว็บก็สามารถติดอันดับได้แล้ว

ขั้นตอนของการเขียนบทความ SEO

1. Keyword คือสิ่งสำคัญ

ในการเริ่มต้นเขียนเนื้อหาขึ้นมา อยากให้คุณลองมองในมุมของคนที่ต้องการหาข้อมูลว่า จะเสิร์ชหาในประเด็นไหน อยากรู้เรื่องอะไร แน่นอนนั้นเป็นที่มาของการเลือกใช้ Keyword ที่หมายถึงคำที่มีการค้นหาบ่อยที่สุดในกูเกิ้ล ซึ่งสามารถดูยอดการค้นหาว่ามีเรทติ้งต่อเดือนที่เท่าไหร่ โดยมีเครื่องมือต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตอย่าง Google Keyword Planner (External Link) เต็มไปด้วย Keyword มากมายพร้อมบอกรายละเอียดทั้งหมด ถือเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนาเนื้อหาให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

2. จำนวนการใส่ Keyword ในบทความ

การเลือกใช้ Keyword ในหนึ่งบทความมีได้มากกว่า 1 คำ แต่ต้องมีการควบคุมจำนวนหรือความหนาแน่นในการใส่คีย์ลงไปในบทความด้วย แนะนำว่าควรใส่คีย์เริ่มต้นที่ 2% และไม่เกิน 4%

3. ความยาวของเนื้อหาไม่เกิน 2000 คำ

ในงานวิจัยได้กล่าวไว้ว่า Google ให้ความสนใจกับบทความที่มีตั้งแต่ 600 คำขึ้นไป มากสุดไม่เกิน 2,000 คำ เพราะถือเป็นเนื้อหาเชิงลึก

4. Meta Description จำเป็นไม่แพ้ Keyword

หากคุณต้องการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรสามารถบอกผ่าน Meta Description ประโยคสั้น ๆ สรุปใจความว่าเว็บไซต์กำลังนำเสนออะไร พร้อมมี Focus Keyword หรือวลีที่เกี่ยวกับธุรกิจหรือเนื้อหาของคุณโดยตรง สำหรับกระบวนการทำงานจะไม่วางไว้ต้นประโยค เพราะอาจทำให้กูเกิ้ลมองว่าเน้นการโปรโมตมากเกินไปและทำให้เนื้อหาไม่เป็นธรรมชาติ

5. รูปภาพประกอบในบทความ

รูปภาพมีความสำคัญไม่แพ้กัน แต่ในการตั้งชื่อภาพควรมี Keyword ด้วยมีความหมายสอดคล้องกับเนื้อหาในบทความด้วย

สำหรับใครที่กำลังอยากทำคอนเทนต์ลงเว็บไซต์และอยากเพิ่มความพิเศษให้บทความเหล่านั้น การเลือกใช้ SEO เข้ามาช่วยเพิ่มการเข้าถึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียว นอกจากจะทำให้เว็บไซต์มีคนเข้าถึงเยอะขึ้นแล้ว ยังไม่ต้องเสียเงินค่าโปรโมตอีกด้วย อย่างไรก็ตามควรนึกถึงคุณภาพของเนื้อหาด้วย เพื่อให้ผู้อ่านได้ความรู้มากที่สุด

พลิกวิกฤติธุรกิจด้วยการทำ SEO เพิ่มยอดขายด้วยกลยุทธ์ตลาดออนไลน์

เป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจที่ผู้ประกอบการแต่ละคนมีโอกาสที่จะต้องเจอกับปัญหาวิกฤติในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ หรือการแข่งขันที่สูง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่ว่าในฐานะผู้ประกอบการ เราจะเลือกใช้กลยุทธ์ใดในการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส สำหรับการตลาดออนไลน์ กลยุทธ์ที่จะช่วยเราได้ก็คือการทำ SEO กับการเพิ่มยอดขาย เปลี่ยนขาดทุนให้เป็นกำไรได้ในพริบตา

ปรับปรุงเนื้อหาในเว็บไซต์ด้วยกลยุทธ์ On-page SEO

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ที่ผนวกเข้ากับกลยุทธ์ On-page SEO ซึ่งเป็นการปรับปรุงเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น หัวเรื่อง คำอธิบาย และข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเรื่องราวที่ลูกค้าให้ความสนใจ ซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมต่อและเรียกลูกค้าเข้ามาที่หน้าเว็บไซต์ของธุรกิจ ช่วยให้เกิด Awareness เพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้าที่จะส่งผลต่อยอดขายของธุรกิจในอนาคต

Local SEO กลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะพื้นที่

สำหรับธุรกิจที่มีรูปแบบการทำตลาดแบบแบ่งสาขาแยกเป็นพื้นที่ในโซนต่าง ๆ อาจเลือกใช้กลยุทธ์ Local SEO ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ได้มากขึ้น เป็นการเจาะกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้าของธุรกิจของลูกค้าในพื้นที่ให้สะดวกขึ้น เป็นการขยายฐานลูกค้าในพื้นที่แบบออนไลน์ที่จะทำให้เกิดการซื้อซ้ำได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการทำกำไรในระยะยาวของธุรกิจ ซึ่งการทำคอนเทนต์ที่หลากหลายที่ลงเฉพาะเจาะลึกกับลูกค้าเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะโซนพื้นที่ในย่านนั้น ๆ จะช่วยให้เกิดความง่ายในการเข้าถึงข้อมูลที่มากขึ้น

Backlink ยกระดับการค้นหาในวงกว้าง

เพราะหัวใจสำคัญของการทำ SEO คือการค้นหา การทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับการค้นหาที่สูงขึ้นได้ เราสามารถเลือกใช้กลยุทธ์การทำ Backlink ซึ่งเป็นการทำ SEO ให้เว็บไซต์อื่น ๆ แนะนำแบรนด์ของธุรกิจและส่งลูกค้ามายังเว็บไซต์หลักธุรกิจของเรา ผลก็คือการเพิ่มจำนวนลูกค้า ขยายส่วนแบ่งทางการตลาดให้มากขึ้น ซึ่งส่วนสำคัญที่จะทำให้การทำกลยุทธ์ Backlink ประสบผลสำเร็จได้นั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่การเลือกนำเสนอคอนเทนต์ที่ลูกค้าให้ความสนใจ เนื้อหาบทความที่มีคุณภาพ และมาตรฐานของการทำเว็บไซต์ของธุรกิจที่ต้องใช้งานง่าย เห็นข้อมูลสินค้าได้ชัดเจน

ด้วยความเข้าใจถึงการทำ SEO ที่ผนวกเข้ากันกับการเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ลงตัว จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถที่จะเปลี่ยนวิกฤตที่ธุรกิจกำลังเผชิญให้เป็นโอกาสในการสร้างผลกำไรได้ และสนับสนุนให้การทำการตลาดแบบออนไลน์ของธุรกิจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้ธุรกิจมีความพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

หลักการทำงานของ Search Engine ที่มือใหม่ควรรู้

เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักการทำ SEO กันมาบ้างแล้ว แต่มีใครรู้หรือไม่ว่า Search Engine นั่นมีหลักในการทำงานอย่างไร เพราะหากรู้หลักการทำงาน ก็จะทำให้การทำ SEO ได้สะดวกและง่ายขึ้น ซึ่งขอยกตัวอย่างหลักการทำงาน Search Engine ของ Google เพราะเป็นเว็บผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานมากที่สุดทั่วโลก

Crawling การเก็บข้อมูล

อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่มีการเชื่อมโยงทุกอย่างบนโลกออนไลน์และมีปริมาณข้อมูลมหาศาลไหลเวียนอยู่เป็นจำนวนมาก การที่จะค้นหาข้อมูลสักอย่างบนโลกออนไลน์จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จำเป็นที่จะต้องมีคนคอยรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นขึ้นมา นั่นคือ การส่ง Bot หรือที่เรียกกันว่า Crawler กระจายออกไปช่วยกันเก็บข้อมูลไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ เสียงเพลง วิดีโอ ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายของเว็บ โดยการเก็บข้อมูลดังกล่าวจะต้องทำแบบ non stop ตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อได้ข้อมูลของเว็บหนึ่งก็ไปต่ออีกเว็บหนึ่ง แบบไม่ได้หยุดพัก

ทำดัชนีหรือ Index

ภายหลังจากที่ Bot ออกไปรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์จากทั่วทุกมุมโลกแล้ว ก็จะนำข้อมูลดังกล่าวกลับมาทำดัชนีหรือ Index เพื่อแบ่งหมวดหมู่แบบแยกย่อยมากที่สุด เพื่อที่จะสามารถค้นหาได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วมากที่สุด หากใครที่ใช้งาน Google และสังเกตเมื่อเวลาเราพิมพ์คำที่ต้องการค้นหาลงไป มักจะมีข้อความต่อท้ายขึ้นมาให้อัตโนมัติ นั่นเพราะมีการจัดทำ Index และให้ระบบทำการใส่หมวดหมู่ย่อยต่อท้าย ด้วยการคาดเดาจากคำที่ใช้ค้นหามาต่อท้าย เช่น หากเราพิมพ์คำว่า เครื่อง ก็จะมีเครื่องยนต์, เครื่องคิดเลข, เครื่องซักผ้า, เครื่องจักร ขึ้นมาต่อท้ายจำนวนมาก หากพบคำที่ค้นหาก็สามารถที่จะเลือกได้เลย โดยที่ไม่ต้องพิมพ์เพิ่มเข้าไป

ค้นหาและจัดเรียง

หลังจากที่มีการจัดทำ Index เป็นที่เรียบร้อยจะมีเครื่องมือสำหรับการค้นหาใน Index เพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่ Search Engine รับคำสั่งมาเพื่อให้ค้นหา ซึ่งในการค้นหานั้นจะต้องอาศัย Keyword ที่อยู่ในเนื้อหา เช่น หาคำว่า แมว คำว่า แมว อาจอยู่ในเนื้อหาภายในเว็บ, บางอันเป็นชื่อเว็บ, เป็นหัวข้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเว็บไซต์ที่ทำนั้นจะกำหนดคีย์เวิร์ดไว้ตรงส่วนใดของเว็บบ้าง ซึ่งเมื่อค้นหาเจอบางคำอาจเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำว่าแมว เช่น อาหารแมว, กระดิ่งแมว, ของเล่นแมว, เสื้อลายแมว เป็นต้น หาก User มีการเลือกใช้งานลิงก์คำว่า เสื้อลายแมว จากเว็บที่ Search Engine หามาให้ ตัว Bot และระบบประมวลผลจะมีการจดจำและแสดงผลการค้นหาที่ตรงใจมากขึ้น โดยหากผู้ใช้มีการค้นหาคำว่า แมว อีกในอนาคต ก็จะมีการคาดเดาความต้องการล่วงหน้าว่าจะต้องเกี่ยวกับเสื้อผ้า ลวดลายของเสื้อ เป็นต้น

การทำงานของ Search Engine ของ Google มีเพียงแค่ 3 ขั้นตอนเท่านั้น แต่สิ่งที่ดูเหมือนยากคือชุดคำสั่งที่ส่งไปกับ Bot หรือ Crawler คือ เงื่อนไขให้ไปตรวจสอบเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งคนที่ทำ SEO จะต้องศึกษาเกี่ยวกับกฎ ระเบียบและเงื่อนไขในการค้นหาของ Bot อยู่เสมอ เพื่อนำมาปรับปรุงเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามคำแนะนำและข้อกำหนด

ทำเว็บติดอันดับดี ไม่เปลืองงบ

เหตุผลที่เจ้าของกิจการสร้างเว็บไซต์เพื่อทำการตลาดออนไลน์ส่งเสริมให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ส่งผลให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเปลี่ยนจากผู้เข้าชมกลายเป็นลูกค้าในอนาคต มีเทคนิคการทำ SEO ที่ง่าย แต่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดเข้าชมเว็บไซต์ ช่วยให้ติดอันดับที่ดีใน Google แบบไม่เปลืองงบประมาณเหมาะสำหรับสตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็ก

ทำ SEO แบบง่ายสำหรับผู้เริ่มต้นคือการส่องกลยุทธ์ของคู่แข่ง เก็บข้อมูลนำมาเป็นแนวทางในการทำ SEO ในเว็บไซต์ของคุณเอง โดยเลือกต้นแบบที่ดีแต่อย่าคัดลอก ควรทำในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง

แม้จะยังเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพ ไม่ได้เน้นการตลาดคำหลักเช่น บ้านผลบอล แต่ก็จำเป็นต้องเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ที่ออกแบบมาอย่างดี หมายถึงมีโครงสร้างเรียบง่าย จัดหมวดหมู่เป็นระเบียบ เลือกหัวข้อย่อยแต่ละหน้าเว็บอธิบายเนื้อหาในหน้านั้นอย่างชัดเจนช่วยให้ง่ายต่อการค้นหาข้อมูลนำไปยังผลลัพธ์ที่ถูกต้อง

ข้อดีของเว็บไซต์ขนาดเล็กคือโหลดเร็วและปรับแต่งเนื้อหาได้ง่าย มีไฟล์ข้อมูลหรือไฟล์มัลติมีเดียไม่มากนักซึ่งง่ายต่อการค้นหาข้อมูลทำให้พบสิ่งที่ต้องการอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงถูกใจผู้คนหาเท่านั้น แต่ยังได้คะแนนดีจากเครื่องมือค้นหาด้วย

เลือกชื่อของเว็บไซต์ ตั้งชื่อและพาดหัวที่อธิบายอย่างถูกต้องว่าแต่ละหน้าเว็บมีเนื้อหาอะไร ช่วยให้ Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ จัดแสดงผลลัพธ์ถูกต้องตรงกับความต้องการ อย่าใช้คำที่เกินจริงหรือหลอกลวงผู้อ่านเพราะจะทำให้สูญเสียความไว้วางใจ ผู้อ่านไม่กลับมาใช้เว็บไซต์ซ้ำอีกซึ่งเกิดผลเสียต่ออันดับ SEO

เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม สามารถศึกษาคีย์เวิร์ดจากเว็บไซต์ของคู่แข่งได้ เรียกว่ารู้เขารู้เราทั้งจุดอ่อนและจุดแข็ง ควรค้นหาคำที่ตรงไปตรงมาและชัดเจนที่สุด อย่าลืมเสริมด้วย Longtail Keywords ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดค้นหาที่เจาะจงตรงกับความสนใจของลูกค้าเป้าหมายทำให้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น

เน้นเฉพาะคีย์เวิร์ดอย่างเดียวไม่ได้ สิ่งสำคัญคือการนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพ ข้อมูลถูกต้องและเจาะลึก สามารถตอบคำถามให้ความกระจ่างในเรื่องที่ผู้อ่านอยากรู้ มุ่งเน้นความพอใจทำให้เว็บไซต์เป็นที่ยอมรับ มีผู้กลับมาใช้งานซ้ำอีก ถือเป็นวิธีการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพเพราะเครื่องมือค้นหาให้ความสำคัญกลับมาใช้ซ้ำ ๆ ช่วยเพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างแน่นอน

อัปเดตข้อมูลโพสต์ลงเว็บไซต์เป็นประจำ ทำให้เนื้อหาสดใหม่มีความทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของบทความให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ การแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ เนื้อหาเจาะลึกและมีประโยชน์มากเท่าไรยิ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์มากขึ้น

การใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียจะใช้งบประมาณน้อยกว่าการโปรโมทแบรนด์แบบดั้งเดิม โดยแบ่งปันเนื้อหาไปที่ Facebook, Twitter, Instagram หรือเครือข่ายโซเชียลมีเดียอื่น ๆ

เทคนิคการทำ SEO เพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหาเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับที่ดี มีผลให้คนค้นพบเว็บไซต์ของคุณท่ามกลางเว็บไซต์คู่แข่งมากมาย แม้จะยังไม่ปรากฏในผลลัพธ์หน้าแรกของการค้นหา แต่ช่วยให้เว็บไซต์เห็นง่ายขึ้นและเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมมากขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสขายมากขึ้นซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจนั่นเอง

ไอเดีย สร้างยอดขายด้วย content marketing

ต้องยอมรับว่าการตลาดบนโลกอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถส่งผลต่อการขยายโอกาสทางธุรกิจในยุคปัจจุบัน เนื่องจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่คนรับรู้ข่าวสารผ่านหน้าจอโทรทัศน์หรือเสียงจากวิทยุกลายเป็นรับรู้ข่าวสารจาก Social media มากขึ้น โดยการสร้างสรรค์ content marketing ที่มีคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการกระตุ้นยอดขายบนโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพราะกลุ่มเป้าหมายรับรู้และสัมผัสถึงความน่าเชื่อถือในสินค้าหรือบริการมากขึ้น

สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การทำ content marketing ประสบความสำเร็จ Content Creator ควรให้ความสำคัญประเด็นสำคัญ 3 ประเด็น คือ

  1. ประเภทของ content marketing การทราบประเภทของคอนเทนต์จะช่วยให้เราสามารถนำประเภทของคอนเทนต์มาวิเคราะห์ว่าคอนเทนต์แบบไหนที่กลุ่มเป้าหมายชื่นชอบและนำมาพัฒนาคอนเทนต์ต่อไป โดย content marketing แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ โปรโมชั่น (Promotion), คำถาม&คำตอบ (Question & Answer), คำคม (QUOTE) และประโยชน์ (Benefit)
  2. ตัวตนของกลุ่มเป้าหมาย การจะทำคอนเทนต์สำหรับสร้างยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Content Creator ควรวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการโดยละเอียดเพื่อนำมาปรับใช้ในการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย
  3. รู้จุดเด่นของคู่แข่ง ข้อมูลของคู่แข่งมีความสำคัญต่อการขยายโอกาสทางธุรกิจบนโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก เพราะการนำข้อมูลของคู่แข็งมาวิเคราะห์หาจุดแข่ง – จุดอ่อน จะทำให้เราสามารถนำสิ่งที่คู่แข่งยังไม่มีหรือมองข้ามไปมาพัฒนาต่อยอดได้

เมื่อทราบถึงประเด็นสำคัญที่ควรรู้เรียบร้อยเราสามารถนำมาสร้างสรรค์เป็นไอเดีย สร้างยอดขายด้วย content marketing ต่อไปได้ ดังนี้

  1. ทำ Review แบรนด์สินค้า/บริการ ของตัวเอง การทำ content review ผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการ นอกจากจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์แต่ยังช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น 
  2. ทำอัลบั้มตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสินค้า/บริการ เราสามารถรวบรวมสิ่งที่ลูกค้าสงสัยได้จากการนำชื่อสินค้า/บริการ ไปทำการค้นคว้าใน Keyword Research เพื่อเช็คว่าลูกค้าเกิดข้อสงสัยในเรื่องอะไรบ้างและนำมาทำเป็นคอนเทนต์ในรูปแบบที่ลูกค้าชอบ เช่น ทำเป็นวิดีโอ, รูปภาพ หรือบทความ เป็นต้น
  3. สร้าง Content ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าเราต้องการจะสร้างยอดขายจากสินค้าหรือบริการ แต่เพื่อเป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจ เราจึงควรสร้าง Content ที่กลุ่มเป้าหมายกำลังให้ความสนใจเพื่อดึงดูดการเข้าถึง
  4. Content ชวนกลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม การสร้างคอนเทนต์กระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมเป็นเทคนิคทางการตลาดที่ช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึงไปยังลูกค้าที่ยังไม่รับรู้ถึงแบรนด์ โดยอาจใช้วิธีแชร์แล้วได้รับรางวัลได้

การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ช่วยเพิ่มยอดขายควรให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ, สร้างความเชื่อมั่นและทำให้ลูกค้าไว้ใจในสินค้าและบริการของธุรกิจได้

ทำไมเราจึงควรทำ SEO สายขาว

การทำ SEO หรือการพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ให้แสดงผลในหน้าแรก ๆ บนกูเกิ้ลเป็นสิ่งที่เว็บไซต์ส่วนใหญ่จำเป็นต้องทำ หากต้องการให้เว็บไซต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การเติบโตของเว็บไซต์ในระยะยาว

ทั้งนี้การทำ SEO (Search engine optimization) เอง ก็มีแนวทางการทำอยู่หลากหลายแนวทาง โดยหลัก ๆ หากจะเรียกตามภาษาของวงการคนทำงานด้านนี้ก็จะเรียกได้ 3 แนวทางคือ

1. SEO สายขาว

2. SEO สายเทา

3. SEO สายดำ

หากจะถามว่า SEO แต่ละสายต่างกันอย่างไร?

อธิบายอย่างสั้น ๆ ก็คือ SEO สายขาวคือคนที่ทำการพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์เป้าหมายตามกติกาและมารยาทของทางกูเกิ้ล โดยทำทุกอย่างถูกต้องตามระเบียบของสังคมออนไลน์และตามกฎหมายของรัฐ รักษามารยาทการทำงานที่สะอาด ไม่ใช้วิธีการนอกรูปแบบมาทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ซึ่งการทำ SEO สายขาวเป็นงานที่ต้องใช้ระยะเวลาและความอดทนสูง จึงจะทำให้เว็บไซต์เป้าหมายเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้อย่างที่คาดหวังไว้

ส่วน SEO สายเทา ก็คือ คนที่ทำการพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์เช่นเดียวกับ SEO สายขาว คือหน้าที่หลักคือการพัฒนาเว็บไซต์ตามกฎ กติกาและมารยาทของกูเกิ้ลและสังคมออนไลน์ แต่มีงานบางส่วนที่ต้องใช้เทคนิคที่ไม่ถูกต้องเข้ามาทำด้วยเหตุผลว่า เว็บไซต์ที่เป็นเป้าหมายของการทำ SEO ทำธุรกิจที่หมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย จึงไม่สามารถแสดงตัวบนเว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อสร้างลิงค์ได้โดยตรง จึงทำให้จำเป็นต้องทำ Spam หรือ Redirect ขึ้นมาบ้างเพื่อหลบเลี่ยงระบบการตรวจจับของกูเกิ้ล

สุดท้ายคือ SEO สายดำ ซึ่งก็คือการทำทุกวิถีทางเท่าที่ทำได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเทคนิคที่ผิดกฎหมาย ไม่ตรงตามมารยาทที่ดีของสังคมออนไลน์ เพื่อให้เว็บไซต์เป้าหมายขึ้นไปอยู่หน้าแรกของกูเกิ้ลให้ได้ ซึ่งวิธีการทำงานแบบนี้ในทางปฏิบัติมักจะเห็นผลเร็วแต่ไม่ยั่งยืน เพราะทางระบบตรวจสอบของกูเกิ้ลมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เว็บไซต์ที่ได้รับการแสดงผลจากการทำ SEO สายดำอาจจะถูกลงโทษและเสียภาพลักษณ์ในสายตาของผู้ใช้งานในระยะยาว ซึ่งถือว่าไม่คุ้มค่าเลยกับสิ่งที่ได้มาเพียงระยะเวลาสั้น ๆ

เมื่อรู้จักแนวทางการทำ SEO ทั้ง 3 แนวทางไปแล้ว คงพอจะดูออกว่า หากเราต้องการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีภาพลักษณ์ที่ดีทั้งต่อผู้บริโภคและระบบของ search engine เอง การสร้างความยั่งยืนของการจัดอันดับเว็บไซต์ด้วยการทำ SEO แบบสายขาวเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ถึงแม้ผลลัพธ์ที่เราต้องการอาจจะต้องใช้เวลารอคอยสักหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าความคุ้มค่าที่เกิดขึ้นจะทำให้การรอคอยที่เสียไป ไม่เปล่าประโยชน์ การสร้างความน่าเชื่อถือด้วยความถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นเป็นสิ่งที่คนทำธุรกิจทุกคนสมควรจะทำ เหมือนกับภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม”นั่นเอง

SEO อีกหนึ่งช่องทางการตลาดออนไลน์ ที่ผู้ประกอบการต้องรู้

ในยุคสมัยที่การแข่งขันทางธุรกิจเป็นไปอย่างดุเดือด ต่างก็งัดเอากลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลายออกมาใช้เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด หนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่ผู้ประกอบธุรกิจนิยมใช้ นั่นก็คือการทำ SEO (search engine optimization) วันนี้เรามาเรียนรู้พื้นฐานการทำ SEO ไปด้วยกัน

1.ความหมายและความสำคัญของ SEO
เป็นหนึ่งในวิธีทางการตลาดออนไลน์ที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของการค้นหาโดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาให้ Google การจะทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จไม่เกี่ยวกับขนาดของเว็บไซต์ว่าเล็กหรือใหญ่ ไม่สนใจว่าเปิดมานานแล้วแค่ไหน ทุกเว็บไซต์สามารถถูกจัดอันดับให้อยู่บนหน้าแรกของ Google ได้ทั้งหมด ถ้าคอนเทนต์นั้นสามารถตอบสนองความต้องการผู้ที่กำลังค้นหาข้อมูลได้

2.จุดเริ่มต้นการใช้ SEO ใน Google
นับตั้งแต่ปี 1998 ที่สุดยอดคู่หูอัจริยะลาร์รี่ เพจ (Larry Page) และเซอร์เก บริน (sergey Brin) ได้คิดค้นระบบปฏิบัติการค้นหาเว็บไซต์ (search engine) หรือ Google ขึ้นมาได้ โดยการใช้โปรแกรมที่เรียกว่า bot เข้าไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ที่มีอยู่ทั่วโลกมาทำดัชนีและนำเสนอรายการเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องและตรงประเด็นต่อผู้ค้นหาข้อมูล ทำให้ในเวลาต่อมาการค้นหาข้อมูลก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

3.มีเว็บไซต์เป็นของตนเองหรือใช้บริการบล็อกฟรี ก็สามารถทำ SEO ได้
การที่จะนำ SEO มาใช้ในการตลาดออนไลน์ได้นั้น ผู้ประกอบการจะมีเว็บไซต์เป็นของตนเองก่อนหรือไม่ก็ได้ มีทางเลือก เช่น เปิดเว็บกับผู้ให้บริการฟรี อย่าง wordpress, blogspot หรือแฟนเพจ Facebook เพราะการมีเว็บไซต์เป็นของตนเองจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นค่าจัดทำ ค่าโดเมน (ชื่อที่อยู่เว็บไซต์) ค่าเช่าโฮสติ้ง (คอมพิวเตอร์ที่เก็บไฟล์) ค่าบริหารจัดการเว็บไซต์ และอื่น ๆ อีกจิปาถะ ราคาถูกแพงขึ้นอยู่กับเนื้องาน โดยสามารถเจรจาต่อรองกับผู้รับจ้างได้

หากผู้ประกอบการรายใดจะทำเว็บไซต์เป็นของตนเองเพื่อส่งเสริมการขาย ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย ยังไม่นับรวมค่าจ้างสร้างคอนเทนต์อีกต่างหาก แต่หากสร้างเว็บไซต์เองได้ด้วย ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลงไปได้มาก

4.ทำไมผู้ประกอบการไทยต้องทำ SEO ?
เพราะ SEO เป็นหนึ่งในกระบวนการทางการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายหรือสร้างผลกำไรให้ผู้ประกอบการนั่นเอง

5.ประเมินความคุ้มค่า
การนำ SEO เข้ามาใช้งานช่วงเริ่มต้นนั้นมีค่าใช้จ่ายมาก มีขั้นตอนในการจัดทำยุ่งยากพอสมควร อาจไม่เหมาะกับเจ้าของกิจการรายเล็ก ๆ ที่มีเงินทุนไม่มาก แต่ถ้าหากมองถึงความคุ้มค่าในอนาคตแล้ว การนำ SEO เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มยอดขายก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี

แม้ว่า SEO เป็นช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเจ้าของกิจการรายใดมีความรู้ไม่มากพอ ควรศึกษาหาข้อมูลให้ดีก่อนคิดตัดสินใจลงทุนหรืออาจขอคำปรึกษาจากมืออาชีพก็จะทำให้ประหยัดเงินและเวลาได้มาก เพราะถ้าวางแผนไม่ดี แทนที่จะเป็นผลดีต่อธุรกิจก็อาจกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับในอนาคตก็เป็นได้

ทำเพจรับงานใน Fastwork ต้องทำ SEO อย่างไร

หลายคนที่อยากหาอาชีพเสริมด้วยการเป็นฟรีแลนซ์ Fastwork ถือว่าเป็นแหล่งรวมการจ้างงานสำหรับทุกคนที่เป็นคนไทย โดยปัจจุบันมีจำนวนฟรีแลนซ์หลายพันคนที่มีเพจรับงานทุกวัน เรามาดูกันว่าหากคุณต้องการให้เพจรับงานของคุณเป็นที่รู้จัก ถูกแสดงอยู่ในอันดับต้น ๆ คุณจะต้องทำอย่างไร

1.ตอบคำถามอย่างรวดเร็ว
ความรวดเร็วในการตอบหลังจากที่มีคนทักทายเข้ามาทางระบบข้อความ เพื่อสอบถามการจ้างงาน เป็นส่วนสำคัญเบื้องต้นที่สร้างความประทับใจ แสดงถึงความกระตือรือร้นและความพร้อมที่จะรับงานอยู่เสมอ จึงควรตั้งค่าโทรศัพท์ให้ระบบแจ้งเตือนแบบมีเสียง เพื่อจะได้ตอบได้ทันทีที่มีการทักมา ทั้งนี้ ตัวเลขนาทีที่รอคอยการตอบนี้ จะปรากฏในหน้าเพจของฟรีแลนซ์แต่ละคนด้วย

2.เปอร์เซ็นต์การจ้างงานสำเร็จ
การคำนวณจำนวนออเดอร์ที่ทำงานสำเร็จหารด้วยจำนวนครั้งของการสอบถาม เป็นเปอร์เซ็นต์ที่บอกถึงความเป็นมืออาชีพของฟรีแลนซ์ ที่มีสามารถบริหารจัดการรับงานได้แทบทุกรูปแบบ

3.ราคาเฉลี่ยของการขายงาน
การตั้งราคาถูกเพื่อจูงใจให้คนจ้างงาน ไม่ใช่ข้อดีเสมอไปของการทำงานในระบบฟรีแลนซ์ Fastwork เพราะราคาเฉลี่ยที่ต่ำ ย่อมทำให้คุณได้คะแนน SEO ที่น้อยลงไปด้วยและคุณก็ทำงานเหนื่อยไม่คุ้มค่าตอบแทน และอย่าลืมว่า ต้องหักเปอร์เซ็นต์ให้ค่าระบบอำนวยความสะดวกของ Fastwork เริ่มต้นที่ 17% ด้วย หากไม่คิดค่างานเผื่อไว้ในส่วนนี้ มุ่งแต่ตั้งราคาขายงานที่ต่ำที่สุด คุณอาจจะได้ค่าเหนื่อยไม่คุ้มกับผลงานที่ทำออกไป

4.ดาวรีวิวความพอใจ
เป็นผลจากงานที่ทำสำเร็จในอดีต หลังจากที่มีการปิดงานลูกค้าไป ระบบจะมีการเชิญชวนให้ผู้จ้างงานรีวิวผลงานของเพจร้านผ่านดาว 5 ดวง หากได้ความพึงพอใจมาก ก็ได้ดาวเต็ม 5 ดวงไปเลย ถ้าได้คะแนนรวมสะสมจำนวนมากเท่าไร ก็ทำให้เพจร้านมีความน่าเชื่อถือว่าสามารถผลิตผลงานดี ๆ ออกมาให้ลูกค้าได้

5.ทำปกและอัลบั้มรูปบนหน้าเพจให้สวย
ปกและรูปผลงานใส่ได้ถึง 20 รูป ฟรีแลนซ์ควรใส่รูปตัวอย่างผลงาน และเลือกพื้นหลังภาพให้สวยงาม ใส่ใจขนาดตัวอักษรและใส่รายละเอียดที่ไม่มากเกินไปจนรกสายตา จะเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ ที่ทำให้คนอยากคลิกเข้ามาจ้างงานและสอบถามข้อมูล

ระบบ SEO อยู่ในทุกแพลตฟอร์ม โดยเป็นตัวคัดกรองคุณภาพของคนทำงานหรือเจ้าของเพจได้เป็นอย่างดี หากคุณต้องการมีรายได้เพิ่มในระบบ Fastwork ก็ต้องใส่ใจในสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้คุณมีรายได้เสริมสม่ำเสมอแน่นอน

อัปเดตเทคนิค ปรับ SEO on page ประจำปี 2564

ด้วยความสำคัญของการทำเว็บไซต์ที่มีประโยชน์ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในการสร้างชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ หรือเพิ่มยอดขายทำให้มีจำนวนผู้ที่สนใจทำ SEO หรือ Search engine optimization หรือเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบนโลกออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ค้นหาข้อมูล มากยิ่งขึ้น ซึ่ง SEO on page เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์มากยิ่งขึ้นและช่วยให้มีจำนวนผู้เข้าสู่เว็บไซต์มากขึ้นด้วย

เทคนิคที่ช่วยปรับ SEO on page ประจำปี 2564

1.พัฒนาคอนเทนต์ให้มีคุณภาพ
การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ หมายถึง การสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์กับผู้ใช้งาน (Users) และตอบโจทย์ข้อกำหนดของ Search Engine เริ่มต้นด้วยการเลือก Keyword หรือ คำค้นหา ที่มีจำนวนผู้ค้นหาเยอะและมีผู้แข่งขันน้อย โดยเราสามารถวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ต้องการได้ด้วยเครื่องมือที่ช่วยในการเลือกคำค้นหาที่มีประสิทธิภาพมีหลายเว็บไซต์ เช่น Ubersuggest,Keyword Tool และ Semrush เป็นต้น เมื่อได้คีย์เวิร์ดที่ต้องการจึงนำคีย์เวิร์ดมาใช้ในการสร้างคอนเทนต์และโพสต์คอนเทนต์ลงเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการค้นหาคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดมาเพียงคีย์เวิร์ดเดียวและนำมาสร้างเป็นบทความหรือวิดีโอจะช่วยให้เกิดการเข้าถึงเว็บไซต์ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

2.ไม่มองข้ามความสำคัญของ Meta Tags
Meta Tags คือ คำอธิบายเว็บไซต์ที่แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ด้วยกัน คือ Title Meta Tags หัวข้อบทความ, Meta Description คำอธิบายใต้หัวข้อบทความอย่างย่อ, Alternative Text (ALT) Tag คำอธิบายรูปภาพและ Meta Viewpoint ฟังก์ชันที่ช่วยกำหนดการแสดงผลให้เข้ากับอุปกรณ์แต่ละประเภท

3.จัดลำดับ Heading Tag ให้ถูกต้อง
“Heading Tag” คือ การจัดลำดับหัวข้อบทความโดยเรียงลำดับตั้งแต่หัวข้อหลักไปยังหัวข้อย่อยที่มีความสำคัญเป็นลำดับรองลงมา โดยในแต่ละ Heading Tag ควรแทรกด้วย Keyword เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine สาเหตุที่ทำให้ Heading Tag มีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO เพราะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถอ่านข้อมูลได้ง่าย ซึ่ง Search Engine จะมองว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ง่ายต่อการทำความเข้าใจและง่ายต่อการเก็บข้อมูล

4.ใช้รูปภาพหรืออินโฟกราฟิกเพื่อสร้างความน่าสนใจ
การใช้ภาพอินโฟกราฟิกจะช่วยให้หน้าบทความมีความสวยงาม น่าสนใจและช่วยในการสรุปข้อมูลที่มีรายละเอียดเยอะให้มีความน่าสนใจและสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น โดยภาพที่ดีควรมีขนาดพอเหมาะและสามารถปรับขนาดตามอุปกรณ์ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงมีการตั้งชื่อรูปภาพด้วย Keyword เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO

การปรับ SEO On Page ด้วยเทคนิคทั้ง 4 ข้อ จะช่วยในการแสดงผลบนหน้าแรกและทำให้อันดับเลื่อนขึ้น ซึ่งมีผลต่อการสร้างปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์และช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์ให้มากยิ่งขึ้น