Update เทรนด์ SEO ประจำปี 2021 ที่คนทำคอนเทนต์ควรรู้!

สำหรับคนทำคอนเทนต์บนโลกอินเทอร์เน็ตย่อมรู้ถึงความสำคัญในการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization หรือเครื่องมือที่ช่วยเพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์อยู่แล้ว แต่ทุก ๆ ปีเทรนด์การทำ SEO จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เนื่องจากระบบ Search Engine ต้องการเพิ่มเว็บไซต์และคอนเทนต์ที่ประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปี 2021 เทรนด์ SEO มีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

1.ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งาน (User) เป็นหลัก การทำคอนเทนต์ควรให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่ User จะได้รับ โดยแทรกคีย์เวิร์ดที่ใช้ในการค้นหาในปริมาณที่เหมาะสม แม้ว่าเทรนด์นี้จะเป็นเทรนด์สำคัญที่เห็นกันอยู่ทุกปี แต่ในปี 2021 นี้ Google Search Engine ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นเพื่อปรับปรุงข้อมูลที่มีในระบบให้ตอบสนองต่อความต้องการของ User ได้ดีกว่าเดิม และต้องการเว็บไซต์ที่มีการแสดงผลได้อย่างรวดเร็วฉับไว รวมถึงไม่เน้นการทำคอนเทนต์เพื่อเก็บข้อมูล Email หรือบังคับให้ลงทะเบียน

2.ให้ความสำคัญกับระยะเวลาการใช้งานของ User มากกว่า Traffic ปริมาณการเข้าถึง (Traffic) จะถูกลดบทบาทลงและเพิ่มการให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมาย (User) เดิมมากยิ่งขึ้น ทำให้การทำคอนเทนต์ควรเป็นไปในลักษณะที่สามารถรักษาฐาน User เก่า โดยมุ่งเน้นการทำคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์และสร้างคุณค่าควบคู่ไปกับการหา User ใหม่

3.สร้างแบรนด์ของตัวเองด้วยการทำ Search Engine Results Page (SERPs) คือ การทำให้หน้าเพจติดอันดับบน Google โดยนำเทคนิค SEO มาใช้ โดยแทรกคีย์เวิร์ดหรือคำที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลลงในส่วนต่าง ๆ ของเพจอย่างเหมาะสม และเนื้อหาเพจต้องมีประโยชน์กับ User โดยต้องสร้างสรรค์ข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพราะเป็นสิ่งที่ Google จะใช้ในการตัดสินคุณสมบัติของเพจว่าเป็นเพจที่มีประโยชน์ต่อ User หรือไม่

4.ให้ความสำคัญกับการตั้งค่าภายในเว็บไซต์ เพื่อให้เกิดการแสดงข้อมูลที่รวดเร็วฉับไว รองรับการเปิดเว็บไซต์ด้วยอุปกรณ์มือถือ แล็บท็อป หรือแทปเล็ต รวมถึงมีระบบรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของ User

5.การทำคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาครบถ้วน ในปี 2021 Google ให้ความสำคัญกับการทำคอนเทนต์ที่มีความยาวมากกว่า 1,000 คำขึ้นไป เพราะเป็นจำนวนคำที่สามารถอธิบายเนื้อหาได้โดยละเอียดและเป็นประโยชน์ต่อ User มากที่สุด ทั้งนี้ควรจัดข้อความแต่ละย่อหน้าให้มีลักษณะที่อ่านง่าย เป็นระเบียบ และเลือกใช้คำอธิบายที่สามารถเข้าใจได้ง่าย รวมถึงการใช้คีย์เวิร์ดที่สมเหตุสมผลให้กระจายทั่วคอนเทนต์ในปริมาณที่เหมาะสม

เทคนิคในการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่เสมอ ผู้ที่ทำเว็บไซต์ คอนเทนต์หรือนักการตลาดออนไลน์ควรหมั่นศึกษาและทำความเข้าใจเพิ่มเติมโดยเร็ว เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

SEO และ Google Ads ต่างกันอย่างไร ธุรกิจออนไลน์ควรเลือกใช้อย่างไหนมากกว่ากัน?

สำหรับนักธุรกิจออนไลน์มือใหม่หลายคนมักเกิดคำถามสุดคลาสสิกว่า SEO และ Google Ads ต่างกันอย่างไร และควรใช้อย่างไหนถึงจะได้ผลลัพธ์ในการโฆษณามากที่สุด?

ดังนั้น วันนี้เราจะมาลองเปรียบเทียบความแตกต่างและข้อดี-ข้อด้อยของทั้งสองอย่างนี้ เพื่อช่วยให้หลายคนที่กำลังเริ่มทำธุรกิจออนไลน์มีตัวเลือกในการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ได้มากขึ้น

SEO หมายถึงอะไร?

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับ SEO กันก่อนว่า หมายถึง การปรับแต่งคอนเทนต์หรือบทความในเว็บไซต์เพื่อเพิ่มโอกาสติดอันดับต้น ๆ ในหน้าผลการค้นหาของ Google มากขึ้น โดยใช้ Keyword ต่าง ๆ ที่มีผู้ค้นหาใน Google แต่เนื่องจากในปัจจุบัน Google ได้ปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของคอนเทนต์ที่จะติดอันดับสูง ๆ โดยเน้นคุณภาพมากกว่าการใช้คำซ้ำกันมาก ๆ ในตัวบทความ ดังนั้น การทำ SEO ให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการจึงมีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น ต้องอาศัยประสบการณ์ ความชำนาญ และทักษะด้านการออกแบบเว็บไซต์และปรับแต่งเนื้อหาพอสมควร

ข้อดี การทำ SEO ไม่จำเป็นต้องเสียเงินหากไม่ได้ว่าจ้างบุคคลที่สาม เพราะเป็นการใช้เทคนิคด้านการเขียนและการออกแบบเว็บไซต์ ช่วยให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับการค้นหาโดยธรรมชาติ ไม่ได้เสียค่าโฆษณาให้ Google แถมยังทำได้ไม่จำกัดตามแต่จะเลือกใช้ Keyword

ข้อเสีย ไม่สามารถรับประกันผลได้ว่าเว็บไซต์ของเราจะติดอันดับหน้าแรก ๆ ของการค้นหาหรือไม่และเมื่อไหร่ เพราะปัจจัยของการทำ SEO ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้นค่อนข้างหลากหลาย ต้องอาศัยประสบกาณ์และความเชี่ยวชาญพอสมควร แถมยังมีโอกาสที่เราจะต้องแข่งขันกับ SEO ของคู่แข่ง หากคอนเทนต์ของเราไม่มีคุณภาพพอ ก็ยากจะแซงอันดับกับคู่แข่ง

Google Ads หมายถึงอะไร?

Google Ads จะตรงข้ามกับ SEO เพราะเป็นการ “ซื้อ” โฆษณากับทาง Google โดยตรง ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์หรือหน้าร้านออนไลน์ของเราปรากฏอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหาหรือเลือกให้ไปแสดงบนเว็บไซต์ที่เป็นพันธมิตรกับ Google เพียงแค่เราตั้งค่า Keyword ของคอนเทนต์ที่เราต้องการโฆษณาให้ตรงกับ Keyword ที่มีคนนิยมใช้ค้นหาบน Google โดยทันทีที่มีผู้ใช้งานค้นหา Keyword นั้น Google ก็จะแสดงเว็บไซต์ของเราอยู่เหนือผลการค้นหาแบบทั่วไป

ข้อดี รับประกันได้ว่าเว็บไซต์ของเราจะปรากฏในหน้าแรกของการค้นหาบน Google อย่างแน่นอน ช่วยเพิ่มโอกาสที่จะมีลูกค้าคลิกเข้ามาเลือกซื้อสินค้าและบริการในเว็บไซต์ของเรา ซึ่งเราสามารถกำหนดรายละเอียดของกลุ่มเป้าหมายได้เองว่า จะให้เว็บไซต์ของเราแสดงบนหน้าการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายประเภทไหน ช่วงอายุเท่าไหร่ พื้นที่ไหน เป็นต้น

ข้อเสีย เสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เนื่องจาก Google คิดค่าโฆษณาตามจำนวนการคลิกเข้าเว็บไซต์ แถมบาง Keyword ก็มีการแข่งขันสูง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการซื้อโฆษณาต่อหนึ่งคลิกสูงตามไปด้วย อีกทั้งในบรรดาผู้ลงโฆษณาเองก็ต้องแข่งขันประมูลค่าคลิกและปรับแต่งคุณภาพโฆษณาเพื่อแย่งชิงเป็นโฆษณาอันดับบนสุดเช่นกัน ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อโฆษณา ต้องศึกษารายละเอียดด้านการตลาดให้แน่ใจเสียก่อนว่า คีย์เวิร์ดที่เลือกมาตั้งค่าโฆษณานั้นก่อให้เกิดผลกำไรหรือไม่ รวมถึงการทดลองโฆษณาแบบ A/B Testing เพื่อหาว่าเมื่อตั้งค่าหรือเขียนคำโฆษณาแบบใดจะมีอัตราการคลิกเข้าชมที่ดีกว่าหรือเกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจได้มากกว่า (Conversion)

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น SEO หรือ Google Ads ต่างก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้งานตามความเหมาะสมและสถานการณ์ ซึ่งต้องอาศัยการศึกษาและวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้เราสามารถดึงข้อดีของทั้งสองอย่างมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจมากที่สุด พร้อมกับหลีกเลี่ยงข้อเสียที่อาจทำให้การลงทุนลงแรงของเราเสียไปโดยเปล่าประโยชน์

4 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำคีย์เวิร์ด SEO

ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดแนะนำให้นักธุรกิจยุคใหม่ทำเว็บไซต์ออนไลน์ตามระบบ SEO ที่ Google กำหนด เพื่อให้มีอันดับการสืบค้นที่ดี เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและเพิ่มยอดการขายสินค้าได้มากกว่าเดิม ซึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการใช้คีย์เวิร์ดต่าง ๆ อย่างเหมาะสมไม่ว่าจะทำธุรกิจขายสินค้าและบริการประเภทใดก็ตาม

เรามาดูกันว่ามี 4 สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการทำคีย์เวิร์ด SEO อะไรบ้าง

1.ควรใส่คีย์เวิร์ด SEO กระจายทั่วไปหลายตำแหน่ง
คีย์เวิร์ด SEO ควรอยู่ในส่วนสำคัญต่าง ๆ ที่ระบบอัลกอริทึมของกูเกิ้ลจะมาเก็บข้อมูลเป็นระยะ เช่น หัวข้อเรื่อง ส่วนคำอธิบายหรือ Meta Description คำนำ เนื้อเรื่องและสรุป ตำแหน่งละ 1-2 ครั้ง ไม่ควรมากกว่านี้ เพื่อไม่ให้เข้าข่ายการสแปม keyword ที่สร้างความรำคาญแก่ผู้อ่าน ทั้งนี้อาจแยกเป็นคีย์เวิร์ดหลักและรองเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการค้นหาด้วย

2.วิเคราะห์คีย์เวิร์ดให้ดีก่อนใช้
คีย์เวิร์ดที่ดีต้องผ่านการวิเคราะห์เปรียบเทียบอำนาจการแข่งขัน เช่น การใช้โปรแกรมวิเคราะห์คีย์เวิร์ด SEO อย่าง Ubersuggest หรือ Google search console เพื่อให้บทความต่าง ๆ ที่เขียนมีโอกาสปรากฏสู่สายตาผู้อ่านมากขึ้น หรือเทคนิคอย่างง่ายสำหรับมือใหม่ก็คือการลองพิมพ์คีย์เวิร์ดสั้น ๆ ลงในช่องของ Google search จะปรากฏวลีสั้น ๆ ขึ้นมาอัตโนมัติ คำเหล่านั้นคือคำที่มีผู้นิยมใช้สืบค้นที่คุณควรนำไปใช้ในบทความรวมถึงการตั้งชื่อรูปภาพประกอบบทความด้วย

3.คีย์เวิร์ดควรจำเพาะเจาะจงมากขึ้น
ในอดีตนั้นการใช้คีย์เวิร์ดจะนิยมทำเป็นคำสั้น ๆ มีความหมายกว้างเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น, สินค้าไอที, รองเท้ากีฬา ฯลฯ แต่ในปัจจุบันมีการศึกษาว่าควรใช้คีย์เวิร์ดที่มีความยาวและระบุกลุ่มเป้าหมาย ลักษณะของสินค้ามากขึ้น เช่น เดรสแฟชั่นเกาหลีฤดูร้อน, รองเท้า air max Nike สีส้ม ผู้หญิง ฯลฯ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนที่มีความต้องการเฉพาะด้าน จะทำให้เพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการขายสินค้าและบริการได้มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

4.ใช้ Yoast SEO ประเมินคุณภาพ
นอกจากต้องทำบทความใส่คีย์เวิร์ดตามสามข้อแรกแล้ว ยังต้องศึกษาการใช้งานโปรแกรม Yoast SEO ที่จะวิเคราะห์ได้อย่างละเอียดว่าบทความที่ทำออกมาแล้วมีคุณภาพอยู่ในระดับใด มีอำนาจการแข่งขันเทียบเคียงกับบทความอื่น ๆ ที่นำเสนอออนไลน์อยู่แล้วหรือไม่

นอกจากการเลือกใช้คีย์เวิร์ด SEO จาก 4 ข้อที่กล่าวมา การเลือก hosting ที่ดีก็ยังจำเป็น เพราะหากลูกค้ามีปัญหาในการเข้าเว็บไซต์ เช่น ดาวน์โหลดข้อมูลช้า มีปัญหาเว็บล่มบ่อย ก็จะไม่ประทับใจและไม่อยากกลับเข้ามาใช้บริการอีก เท่ากับคุณเสียอำนาจในการแข่งขันทางธุรกิจให้แก่คู่แข่งไปโดยปริยายด้วย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้เพื่อแก้ไขจุดอ่อนเสริมจุดแข็งของเว็บไซต์คุณให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

VOICE SERCH เทรนด์ใหม่ สำหรับ SEO ปี 2021

Voice Search คือฟังก์ชั่นการค้นหาด้วยเสียง ของ Google ซึ่งประเทศไทย ยังมีอัตราการใช้งานไม่มากนักเพราะส่วนใหญ่ยังคงคุ้นเคยกับการค้นหาด้วย คำ หรือ Keyword แต่เชื่อหรือไม่ว่า Voice Search กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่นิยมโลกการสื่อสารบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ดังนั้นวันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับ Voice Search กันสักนิดว่า มีหลักการทำงานและความสำคัญอย่างไรต่อระบบ SEO ในปี 2021

การทำ SEO (Search Engine Optimization) ด้วยการค้นหาคำตอบบน Google search อาจลดบทบาทลง ด้วยมุมมองใหม่ที่เริ่มปรับตัวจากสถิติการเติบโตของ Voice Search Optimization การค้นหาด้วยเสียง เช่นเดียวกับหลายบริษัทที่หันมาให้ความสำคัญกับฟังก์ชันนี้ เช่น Siri ของ Apple , Alexa ของ Amazon , Cortana ของ Microsoft , และ Bixby ของ Samsung เป็นต้น

แม้ว่าในปัจจุบัน กลุ่มคนที่ใช้แอปพลิเคชันบนมือถือจะยังคงยึดติดกับการค้นหาคำแบบ Keyword เป็นหลัก แต่เราจะเห็นได้ชัดว่า Voice Search มีความทันสมัย ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพมาก ด้วยผลงานวิจัยจากหลายสถาบันชี้ตรงกันว่า Voice Search มีอัตราการเติบโตจากกลุ่มผู้ใช้เพื่อค้นหาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2559 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลจาก Google ระบุว่าภายในปี 2020 มีผู้ใช้วอยซ์ เสิร์ช เพิ่มขึ้นสูงถึง 50 % จึงอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางการทำ SEO รูปแบบใหม่ในอนาคตก็เป็นได้

หากเราพิจารณาถึงข้อได้เปรียบ วอยซ์ เสิร์ช ในกรณีที่เป็นภาษาอังกฤษ คนเราจะพูดได้ 150 คำต่อนาที ในขณะที่ข้อจำกัดของการพิมพ์ค้นหาคำต่าง ๆ ใช้การพิมพ์คำ 40 คำต่อนาที อีกทั้งการค้นหาด้วยเสียงยังมีความสะดวกมากกว่าขณะที่ทำกิจกรรมอื่น ๆ อยู่ เช่น เดิน วิ่ง ขับรถ ทำอาหาร เป็นต้น

ถึงแม้ว่า Voice Search จะมีความทันสมัยและตอบโจทย์ความสะดวกสบายในการชีวิตแบบ New Normal ทำให้ผู้คนเข้าถึงสินค้า บริการ ตลอดจนแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ได้ตรงตามความคาดหมาย 100% สิ่งที่จะตามมาคือปัญหาเรื่องของอารมณ์ความอดทนต่อการค้นหา ผู้คนอาจจะมีความอดทนต่อการรอคอยและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวลดน้อยลง เพราะเคยชินกับการที่ได้รับข้อมูลในทันทีจากการสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น หากสินค้าที่ค้นหาปรากฏขึ้นมาในหน้าแรก ๆ แต่ไม่ใช่แบรนด์ที่ต้องการซื้อ เป็นต้น

ดังนั้นเมื่อ Voice Search เริ่มมีผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคมากขึ้น เจ้าของแบรนด์หรือเว็บไซต์จะหวังพึ่งพา SEO เพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะอาจจะมีการจัดลำดับใหม่และถูกคู่แข่งนำไปได้ จึงต้องเร่งพัฒนารูปแบบเว็บไซต์ เพื่อให้รองรับฟังก์ชัน Voice Search และรูปแบบการค้นหาด้วยเสียงในแอปพลิเคชันอื่น ๆ

นอกจากนี้ก็ควรเพิ่มช่องทางการโปรโมทสินค้าและเว็บไซต์ในโซเชียลมีเดียช่องทางอื่นเพิ่มมากขึ้น ด้วย โดยเน้นการให้ข้อมูลรายละเอียดของสินค้าด้วยเนื้อหาที่เข้าใจง่าย และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า มีบริการหลังการขายที่ดี เชื่อมโยงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเอาไว้ด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งกลุ่มลูกค้าเก่าและขยายฐานลูกค้าใหม่

จะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทรับทำ SEO ที่ไหนดี

การทำ SEO ตามระบบของ Google นั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากในยุค 2020 เพราะธุรกิจทุกประเภทต่างเข้าสู่วงการออนไลน์มากขึ้น ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่หน้าร้านและขยายตลาดได้กว้างทั่วโลก

การศึกษาเทคนิคพิจารณาจ้างบริษัทรับทำ SEO จึงสำคัญ เพื่อเลือกบริษัทที่มีคุณภาพสำหรับทำการตลาดออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ

  • สิ่งที่สำคัญอันดับแรกที่ควรพิจารณาคือความชำนาญ หากมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญทำงานได้อย่างมืออาชีพ ก็จะมีลูกค้ามาจ้างงานมาก ดังนั้น ปริมาณลูกค้าที่ผ่านมาเป็นตัวบ่งบอกความสามารถของบริษัทรับทำ SEO ได้ และหากมีระยะเวลาเปิดกิจการมานานเท่าใด ก็ยิ่งมั่นใจได้มากขึ้น
  • หากได้บริษัทที่น่าสนใจแล้ว ให้คุยเรื่องเทคนิคขั้นตอนในการทำงาน บริษัทรับทำ SEO ที่ดี จะแนะนำวิธีคัดกรอง keyword ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของลูกค้า เพื่อใช้ในการทำบทความ SEO คลิปวิดีโอ ภาพกราฟิกต่าง ๆ เพื่อนำเสนอบนเว็บไซต์ เป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงข้อมูลของกลุ่มคนเป้าหมาย ซึ่งสำคัญต่อการจัดอันดับ SEO โดยระบบอัลกอริทึ่มของกูเกิ้ลในระยะยาว
  • การดูผลการรีวิวความประทับใจในการจ้างงานก็เป็นสิ่งสำคัญ แนะนำให้พิมพ์ค้นหากระทู้สนทนาเก่า ๆ ในเว็บไซต์ที่คนนิยม เช่น Pantip หรือในกลุ่ม Facebook อาจพบความเห็นทั้งบวกและลบ ซึ่งคุณสามารถนำมาพิจารณาไตร่ตรองร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ ได้อย่างมีน้ำหนักมากขึ้น
  • อย่างไรก็ตาม ผู้จ้างงาน SEO จำนวนไม่น้อย เลือกดูที่ค่าใช้จ่ายเป็นอันดับแรก ๆ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเป็นสิ่งที่ต้องระวัง เพราะอาจถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวง หรือถูกบริษัทมือสมัครเล่น ทำแล้วไม่ได้ผล หรือมีการใช้เทคนิคสายเทาหรือสายดำที่ผิดกฎ Google ทำให้เสียโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจไปโดยปริยาย
  • ทางที่ดี ควรว่าจ้างบริษัทที่มีการคิดค่าใช้จ่ายระดับกลาง ๆ เช่น หากคาดหวังอันดับที่ Top 10 ค่าใช้จ่ายรายเดือนมักจะอยู่ที่ 5,000 – 10,000 บาท แต่หากการันตีอันดับการสืบค้นอยู่ในระดับ Top 1-3 ของ keyword ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 30,000 ถึง 50,000 บาท ส่วนการเลือกจ้างงานบริษัทที่คิดค่าใช้จ่ายแพงเกินไป ก็เท่ากับว่าคุณเพิ่มต้นทุนทางธุรกิจให้สูงขึ้นมากโดยไม่จำเป็น
  • ในแง่การการันตีผลความพึงพอใจในอันดับที่เปลี่ยนแปลง และยินดีคืนเงินค่าจ้างให้ 100 % ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่บริษัทรับทำ SEO มืออาชีพนิยม เพราะช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้มากขึ้นว่าเงินที่จ้างงานจะไม่สูญเปล่า อย่างไรก็ตาม ก่อนตกลงจ้างงานต้องตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้มีปัญหาในการเรียกเงินชดเชยภายหลังด้วย

การจ้างงานบริษัททำ SEO ที่เป็นมืออาชีพจะทำให้คุณสบายใจและไม่พลาดโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ เพื่อเลือกบริษัทที่ดีที่สุดและได้ผลลัพธ์ที่คุ้มกับค่าบริการที่จ่ายไป

ออกแบบเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์

ปัจจุบัน SEO ในหน้าเว็บไซต์สามารถสรรหาคำใกล้เคียงได้โดยไม่ต้องเน้นคำศัพท์หรือคำเฉพาะทาง เช่น อาหารหมากับอาหารสุนัข เนื่องจาก Google สามารถบอกได้ว่าเป็นคำใกล้เคียง นอกจากการสรรหาคำในการทำ SEO แล้ว ยังมีวิธืการอื่น ๆ ในการทำ SEO อย่างมากมาย

ในเรื่องความสำคัญของ title หรือชื่อหน้าเว็บไซต์ สมมติว่า เว็บไซต์ของคุณชื่อ อาหารหมา.com คุณอาจจะมีหน้าหนึ่งในเว็บไซต์ โดยเขียนคีย์เวิร์ดไว้ว่า อาหารสุนัขสำหรับพันธุ์ไทย ที่ต้องให้ความสำคัญกับ title หรือชื่อหน้าเว็บไซต์เพราะว่าเป็นข้อมูลแรกที่ Google ทำความเข้าใจว่า คนที่ค้นหาต้องการอะไร และจะได้รับประโยชน์อะไรจากหน้านี้

การเขียน content คนส่วนมากจะบอกให้เขียนจำนวน 500 หรือ 700 คำ แต่ทางที่ดีแนะนำให้เขียนจำนวน 1200 ถึง 1500 คำ เพื่อป้องกันคู่แข่งแย่งอันดับเว็บไซต์หรือถ้ามีคู่แข่งเยอะจริงก็ให้เขียนเป็น 2000 หรือ 3000 คำ ต่อหน้าหรือต่อบทความก็มีโอกาสติดอันดับ สำหรับกรณีถ้าคิดว่าการเขียน content มีจำนวนคำที่มากเกินไป แนะนำให้แบ่งเป็นหัวข้อย่อย เช่น จากหัวข้ออาหารสุนัขพันธุ์ไทย มีหัวข้อย่อยเป็น วิธีเลือกสุนัขพันธุ์ไทย ข้อแนะนำให้อาหารสุนัขพันธุ์ไทย อาหารสุนัขพันธุ์ไทยเลือกได้ในตลาดทั่วไป เพียงเท่านี้คุณก็จะมี 3 หัวข้อแล้ว อย่าลืมกำหนดความสำคัญด้วย H1, H2, H3 เพื่อลำดับความสำคัญของหัวข้อ

ใส่รูปภาพประกอบบทความเสมอ

หากคิดว่าบทความที่เขียนไปไม่ดีพอเมื่อเทียบกับคู่แข่งในคำค้นหาเดียวกัน สิ่งที่ทำได้ คือ เพิ่มเติมด้วยการใส่รูปภาพประมาณ 4 รูป ในแต่ละหัวข้อย่อยพร้อมกับคำอธิบายรูปภาพที่เป็นคำค้นหา เช่น ภาพแรก มีคำอธิบายว่า อาหารสุนัขพันธุ์ไทย ภาพที่สอง คู่มือเรื่องอาหารสุนัขพันธุ์ไทย ภาพที่สาม ข้อแนะนำการให้อาหารสุนัขพันธุ์ไทย เพียงเท่านี้ก็เป็นการบอก Google แล้วว่ารูปภาพแต่ละรูปเกี่ยวข้องกับหัวข้อหลักอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้น การมีบทความยาวพร้อมรูปภาพประกอบก็จะช่วยในการจัดอันดับได้ดี สำหรับกรณีทำเว็บ ทีเด็ดบอลวันนี้ รูปควรประกอบด้วย ทีมทั้งสองพบกัน และสถิติเพื่อสื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพรวม จะเข้ากับเนื้อหาได้ดีขึ้น

หากคุณได้ทำตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว แต่ปรากฏว่าตำแหน่ง Google ไม่เปลี่ยนเลย แนะนำให้คุณสร้างวิดีโอ อาจจะทำภาพเป็น Slide หรือ PowerPoint แล้วพิมพ์สรุปเนื้อหาที่คุณเขียนบทความอีกที หรือถ้าไม่อายกล้อง อาจจะหยิบมือถือมาถ่ายตัวเองเพื่อพูดแบบไม่ต้องยาวก็ได้ ประมาณ 1 ถึง 5 นาที แล้วนำมาลงเว็บไซต์

นี่คือแนวทางที่เราแนะนำ เพื่อสร้างรายได้ทางเว็บไซต์ในระยะยาวดังกล่าวข้างต้น รับรองได้เลยว่ามีข้อมูลให้ Google มากกว่าเว็บไซต์ทั่วไป ดังนั้น จึงส่งผลทำให้มีโอกาสติดอยู่ในตำแหน่งได้ ในทางตรงข้าม ถ้ามีการรอ 3 – 6 เดือน แล้วเว็บไซต์ไม่ขึ้นอันดับอย่างที่ต้องการ แนะนำให้จ้างผู้ให้บริการทำ SEO ก็จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับคุณได้นั่นเอง

เพิ่มปริมาณการเข้าถึง Website ด้วย SEO Keyword 7 ประเภท

สำหรับนักการตลาดคงพอจะทราบถึงความสำคัญของ Keyword, วิธีการคัดสรร keyword ที่ดีและวิธีการนำ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า บริการหรือจุดประสงค์ของเว็บไซต์มาใช้ทำ Search Engine Optimization (SEO) แต่ด้วยการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้นักการตลาดจึงไม่ใช่กลุ่มเดียวที่ทราบถึงความสำคัญของการนำคีย์เวิร์ดมาใช้

การทราบถึงประเภทคีย์เวิร์ดจะช่วยให้ได้คีย์เวิร์ดคุณภาพที่มีการแข่งขันน้อยกว่าและมีความสามารถใจการเรียกกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนเข้าสู่เว็บไซต์มากขึ้น โดยประเภทคีย์เวิร์ดที่ควรรู้ มี 7 ประเภท คือ

1.Short-tail Keyword เป็นการใช้คำนามสั้น ๆ ไม่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งคำเหล่านี้แม้จะมีปริมาณผู้ค้นหาเยอะแต่ก็เป็นคำที่มีจำนวนคู่แข่งเยอะเช่นกัน โดยตัวอย่าง Short-tail Keyword เช่น เสื้อ กางเกง กระเป๋า รองเท้า เป็นต้น

2.Long-tail Keyword เป็นการนำ Short-tail Keyword มาเพิ่มความเฉพาะเจาะจงให้มากขึ้นโดยใช้คำเชื่อม หรือการบอกจำนวน ปริมาณ รุ่น ต่อท้าย เช่น กางเกงขาสั้นผู้หญิง สีขาว สวย ๆ แนะนำ / เสื้อผ้าสาวอวบ ราคาไม่แพง ดูดี / ครีมหน้าขาว มี อย ปลอดภัย เป็นต้น

3.Short-term fresh keyword คำนามสั้น ๆ ที่กำลังเป็นกระแส เช่น ส้มหยุด, ดอกมุราคามิ, แฮรี่พอตเตอร์ ภาคีนกฟีนิกซ์ เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้เป็นคำที่ช่วยดึงความสนใจให้กลุ่มเป้าหมายที่กำลังสนใจในเรื่องราวที่เป็นกระแสในช่วงขณะนั้น

4.Long-term evergreen keyword เป็นคำที่มีลักษณะกลาง ๆ คือ มีปริมาณการค้นหาไม่น้อยหรือมากเกินไป แต่ยังคงมีการค้นหาอยู่เสมอเป็นช่วงเวลานานหลายเดือน หลายปี เช่น แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์, แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ ป.3, พัฒนาการเด็กทารก เป็นต้น

5.Product defining keyword เป็น Keyword ที่เอาลักษณะเด่นของสินค้าหรือบริการมาใช้ในการทำ SEO โดยลักษณะของ Product defining keyword ที่ดีควรมีปริมาณการค้นหาต่ำและมีจำนวนคู่แข่งน้อย เนื่องจากเป็นคำที่มีความเฉพาะเจาะจง

6.Customer defining keyword เป็นการนำลักษณะเด่นของลูกค้ามาใช้ผสาน Short-tail Keyword เพื่อให้เกิดคีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น กางเกงสาวอวบ, รองพื้นสาวผิวแทน, ลายเพ้นท์เล็บสั้น, ทรงผมผู้ชายหยักศก เป็นต้น

7.Geo-targeting keyword การเพิ่มตำแหน่งที่ตั้งลงบน Short-tail Keyword เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยเพิ่มความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น Geo-targeting keyword มีลักษณะปริมาณการค้นหาน้อย แต่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้าในพื้นที่ให้เข้าสู่ร้านค้ามากขึ้นได้ เช่น ร้านอาหารเวียดนาม พิษณุโลก, เสื้อผ้าเด็กทารก เชียงใหม่, ร้านซ่อมรถบิ๊กไบค์ นวนคร เป็นต้น

Search Engine Optimization หรือ SEO ให้ความสำคัญกับการสร้างคอนเทนต์คุณภาพด้วย Keyword คุณภาพ ซึ่งเทคนิคที่ดีที่สุดในการนำ Keyword ทั้ง 7 ประเภท มาใช้ในการทำ SEO เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์และเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์ให้มากขึ้น ควรนำคีย์เวิร์ดทั้ง 7 ประเภทมาปรับใช้ในการสร้างคอนเทนต์ให้มีความสดใหม่อยู่เสมอ

คุณอาจยังไม่รู้ว่า Google ที่เป็น search engine ยักษ์ใหญ่ที่สุดมีเครื่องมือในการทำงานด้าน SEO ให้กับตัวเองถึง 3 ระบบด้วยกัน โดยแต่ละระบบนั้นทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่เครื่องมือทุกตัวนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำงานร่วมกัน เราเลยนำเอาเครื่องมือทั้ง 3 ประเภทนี้มาให้คุณได้ทำความรู้จักก่อนทำ SEO กัน

ทำความรู้จักกับ เครื่องมือทั้ง 3 ประเภท

Neural Matching

มาที่อัลกอริทึมตัวแรกที่ชื่อว่า Neural Matching ซึ่ง Google ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้ตรวจสอบความหมายของคำต่าง ๆ ที่ user ใช้ในการค้นหาและถือว่าเป็นด่านแรกที่คุณจะต้องเจอในการทำ SEO

ทำอย่างไร ให้เว็บไซต์ของคุณเข้าได้กับ Neural Matching?

สิ่งที่ Neural Matching ชอบให้คนทำเว็บไซต์ทำ นั่นก็คือการทำ content ที่มีคุณภาพ โดยเป็นเนื้อหาที่ไม่ได้มาจากการคัดลอกจากเว็บไซต์อื่นแล้วมาแปะบนเว็บไซต์ของตัวเอง รวมถึงไม่ได้เป็นบทความแบบ spinning ด้วย เพราะการทำ content แบบนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณภาพเอาซะเลย อีกทั้งยังไม่สร้างสรรค์อีกด้วย

RankBrain

อัลกอริทึมตัวที่ 2 นี้เราจะคุ้นตาเป็นอย่างดี เพราะมีการพูดถึงบ่อย ๆ จากปากของคนทำ SEO ซึ่งมันจะทำหน้าที่ช่วยเหลือ Neural Matching ให้ทำงานง่ายขึ้นโดยเก็บข้อมูลพฤติกรรมของ user นั่นเอง

ทำอย่างไร ให้เว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับ RankBrain?

อาจจะเป็นเรื่องยากหน่อยที่จะทำความเข้าใจ RankBrain เพราะมันทำหน้าที่ในการจัดอันดับของเว็บไซต์ไปพร้อม ๆ กับ keyword ที่คนใช้ในการค้นหา ฉะนั้นหากคุณอยากเอาชนะ RankBrain ก็ควรตรวจสอบการจัดอันดับของเว็บไซต์ไปพร้อมกับ keyword ในการทำ SEO ทุก ๆ ครั้งที่มีการ monitor เว็บไซต์ โดยอาจเป็นรายอาทิตย์หรือรายเดือนก็ได้

BERT

อัลกอริทึมตัวที่ 3 ที่ทาง Google ใช้ ก็คือ BERT นี่เอง โดยหน้าของมันคือวิเคราะห์โครงสร้างของการค้นหาเพื่อให้ Google เข้าใจบริบทของคำที่ user ใช้ค้นหาบนช่อง search

ทำอย่างไร ให้เว็บไซต์ของคุณได้ใจ BERT?

อัลกอริทึม BERT ตัวนี้มีความชอบเหมือนกันกับ Neural Matching โดยมันชอบให้คุณทำเว็บไซต์ออกมาให้มีคุณภาพ content ในแต่ละหน้านั้นต้องเป็น content ที่มีคุณภาพ เช่น เป็นเนื้อหาที่ประกอบไปด้วยตัวหนังสือและเนื้อหาที่พูดถึงเรื่องเดียวกันทั้งหน้า โดยมี keyword เข้ามาเป็นตัวแทรกแล้วยังมี related keyword เข้ามาเสริมทัพอีกด้วย โดยชื่อหัวข้อของเนื้อหาและชื่อรูปภาพก็มีการแทรก keyword เข้าไปด้วยนั่นเอง

เป็นอย่างไรกันบ้างกับอัลกอริทึมทั้ง 3 ตัวของ Google ที่คุณได้รู้จักกันไปจากข้อมูลเด็ด ๆ ด้านบน? เอาล่ะ! มาถึงตอนนี้แล้วคุณคิดออกหรือยังว่าจะปรับแต่งเว็บไซต์ เนื้อหา และส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ SEO เพื่อให้ได้ใจอัลกอริทึมหลักทั้ง 3 แบบของ Google ได้อย่างไรบ้าง

ทำความรู้จักกับ เครื่องมือทั้ง 3 ประเภท

กำลังวางแผนคีย์เวิร์ดเพื่อทำ SEO ต้องรู้อะไรบ้าง

ขั้นตอนแรกในการทำ SEO แบบ on-page นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของการวางแผนคีย์เวิร์ดเพื่อใช้ในการสร้างเนื้อหานั่นเอง โดยไม่ได้เป็นการสนใจแต่การหาคีย์เวิร์ดที่คุณคิดว่าจะมีคนค้นหาเยอะเท่านั้น แต่จะมีอะไรบ้างที่คุณต้องให้ความสำคัญในขั้นตอนของการวางแผนคีย์เวิร์ด เรามาดูกันเลยดีกว่า

ขั้นตอนการวางแผนคีย์เวิร์ด

คีย์เวิร์ดหลัก

เป็นคีย์เวิร์ดที่คุณจะใช้เป็นคีย์เวิร์ดในเนื้อหาทุกเนื้อหา ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้ง short tail keywords และ long tail keywords แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการสร้างเนื้อหาจะต้องมีคีย์เวิร์ดหลักนี้แทรกอยู่ในเนื้อหาอยู่ด้วยเสมอ เปรียบเสมือนฉายาที่จะอยู่ในทุกหนแห่งบนเว็บไซต์ อีกทั้งยังเป็นคีย์เวิร์ดที่คุณประเมินมาแล้วว่าจะช่วยให้มีคนใช้ค้นหาแล้วนำมาสู่การคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ของคุณ

คีย์เวิร์ดรอง

บางคนที่กำลังสร้างเนื้อหา SEO อาจใช้เพียงแค่คีย์เวิร์ดหลักเท่านั้น แต่ลืมไปว่ายังมีคีย์เวิร์ดรองที่ควรนำมาสร้างเนื้อหาด้วยเช่นกัน โดยการมีคีย์เวิร์ดรองนี้จะเป็นแรงเสริมให้เนื้อหาของคุณมีการผสมผสานระหว่างคีย์เวิร์ดที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการค้นหากับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณนั่นเอง และอีกเช่นเคย คีย์เวิร์ดรองนี้สามารถเป็นได้ทั้ง short tail keywords และ long tail keywords ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีอยู่ในทุกเนื้อหาแต่จะใช้เมื่อมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับคีย์เวิร์ดรองนั้น ๆ

Search volume

หากคุณใช้ Google keyword planner ในการวางแผนคีย์เวิร์ด สิ่งที่คุณสามารถคาดการณ์ได้ก็คือปริมาณการค้นหาบนช่องค้นหาของ Google หรือที่เราเรียกว่า search volume นั่นเอง โดยมีประโยชน์เพื่อให้คุณทราบว่าควรเลือกใช้คีย์เวิร์ดไหนที่สุดและควรตัดคีย์เวิร์ดไหนออกไปเพื่อลดความลำบากในการสร้างเนื้อหา ซึ่งวิธีสังเกตคือเลือกคีย์เวิร์ดที่มี search volume 1000 ครั้งต่อเดือนขึ้นไป เพราะหากน้อยกว่านี้นั่นหมายความว่าคีย์เวิร์ดนั้นไม่ได้มีคนสนใจใช้ในการค้นหาบน Google นั่นเอง

Competition

อีกหนึ่งสิ่งที่คุณสามารถคาดการณ์ได้จาก Google keyword planner ก็คือ competition หรือความยากในการแข่งขัน ซึ่งในหน้าของ Google keyword planner จะบอกความยากเป็น 3 ระดับก็คือ Low, Medium และ High โดยเป็นการวิเคราะห์จากความต้องการของคนที่ต้องการซื้อโฆษณาบน Google Ads ซึ่งการคาดการณ์นี้เป็นตัวช่วยในการบอกความยากในการทำ SEO แบบอ้อม ๆ เพราะยิ่งมีการแข่งขันเพื่อซื้อโฆษณาสูงเท่าไหร่ นั่นอาจหมายความว่ายิ่งมีคนต้องการใช้คีย์เวิร์ดนั้น ๆ ในการทำ SEO เช่นเดียวกัน

แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญในขั้นตอนของการวางแผนค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช่สำหรับเว็บไซต์ของคุณและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำไปสร้างเป็นเนื้อหา SEO ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

ขั้นตอนการวางแผนคีย์เวิร์ด